แก่นของธรรม คือ สติ

หลวงตาสินทรัพย์

บทบรรยาย

หลวงตาสินทรัพย์

บทบรรยาย

หลวงตาสินทรัพย์

บทบรรยาย

หลวงตาสินทรัพย์

บทบรรยาย


สติเป็นกุญแจดอกสำคัญ
ที่ไขเข้าไปสู่ประตูนิพพาน
.
“สติ” บุคคลใดที่มีสติ
เจริญสติ ก็เหมือนเดินเข้าไปใกล้พุทธะ
เดินเข้าไปใกล้พระพุทธเจ้า
อยู่ทุกฝีก้าว ทุกวินาที ทุกเวลา นั่นแหละ
.
มีสติก็มีความเพียร ขาดสติก็ขาดความเพียร
ไม่มีอะไรคุ้มครองเราได้มากเท่า ส ติ
.
สติเป็นตาใน สติเป็นจักษุ
เมื่อฝึกสติ เป็นมหาสติ
นั่นแหละคือ หนทางแห่ง ค ว า ม ดั บ ทุ ก ข์
.
มีสติ ก็มีปัญญา มีสติ ก็มีสมาธิ
อันเป็นสมบูรณ์แบบ เป็นสัมมาสมาธิ
สมาธิประกอบด้วยสติปัญญา หรือ
ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ
เรียกว่า “อนันตริยสมาธิ”
อนันต์ก็แปลว่าเชื่อมเหมือนสายน้ำ ไม่ขาดสาย
นั่นคือเป้าหมาย คือสูงสุด

.
จุดสิ้นสุดของการเดินทางนี้
เป้าหมายของการภาวนา
ก็คือความดับลงแห่งทุกข์ ถึงที่สุดแห่งทุกข์
.
บุคคลคนใดอยากพ้นทุกข์
แต่ว่าเกลียดทุกข์ มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะทุกข์นั่นแหละ คือ ธ ร ร ม
.
การรู้แจ้งในทุกข์ ในเหตุของทุกข์
คือการรู้แจ้ง แห่งความดับลงซึ่งทุกข์
.
เพราะฉะนั้น ศาสนาของเรา จึงเป็นศาสนาที่เลิศ
พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ตรง แล้วสมบูรณ์แล้ว
อานาปานสติที่พระองค์ใช้มา
พระองค์ก็เปิดรับรองว่า
“ตถาคต ต รั ส รู้ ด้วยอานาปานสติ”
.
เพราะฉะนั้นบุคคลใด มีสติอยู่เฉพาะหน้า
ในอานาปานสติ หรือ
ในลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
นั่นแหละคือ “การเป็นอยู่โดยชอบ”

.
เพราะฉะนั้นเหตุดี ย่อมผลดี
เหตุน้อย ผลน้อย
เหตุใหญ่ ผลใหญ่
เหตุพิเศษ ผลพิเศษ
เหตุปัจจะโย ทุกอย่างเกิดจากเหตุ
มีแต่อยากได้ แต่ไม่ยอมสร้างเหตุ
มันก็ได้ แต่ไม่เกิดผลหรอก
.
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ
เกิดจากการ “ประพฤติปฏิบัติ”
ไม่ใช่ไปนั่งคิดเอา ขอเอา อธิษฐานเอา
.
เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราตั้งอกตั้งใจ
นำพระธรรมคำสอนคือ อานาปานสติ มาปฏิบัติ
ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
.
ไม่มีใครช่วยเราได้
ไม่มีใครดลบันดาลให้เราดีเราชั่วได้
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นกรรม

ทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราทำเอง
เพราะฉะนั้น อย่ามัวเลย
อย่ามัวคิดเอาอย่างเดียวไม่ได้
.
เพราะไอ้ตัวความคิดเนี่ยแระ ตัวสำคัญ
ความคิดเป็นตัวเชื่อม นำไปสู่
ความสงสัย ลังเล ต่างๆนานา
นิวรณ์เนี่ยเป็น เครื่องกั้น เห็นมั้ย
เป็นเครื่องกั้น กั้นสู่ความสงบ
กั้นสู่ความสมาธิ
.
ถ้ามีสมาธิ ก็ไม่มีนิวรณ์
ถ้ามีนิวรณ์ ก็ไม่มีสมาธิ
เพราะเป็นเครื่องกั้น เป็นข้าศึก
เพราะฉะนั้น “ความคิด” จึงเป็นตัวเชื่อม
ไปสู่ความวุ่นวายความฟุ้งซ่านต่างๆนานา

.
เมื่อเราเห็นความคิด
“มารที่มีฤทธิ์คือ ความคิดของเราเอง” จำไว้
.
นั่งอยู่คนเดียว ก็หลอกตัวเอง ความคิด.. .
ไม่มีอะไรทำร้ายเราได้บ่อย
เท่าความคิดของเราเองหรอก เนาะ
.
คนอื่นหลอกเราเนี่ยนะ
ยังไม่มีโทษเท่าตัวเองเราหลอกตัวเองนะ จำไว้

.
เพราะฉะนั้น ความคิดกลัวสติ รู้ทัน
บุคคลใดเจริญสติ รู้เท่าทันความคิด นั่นแหละ
บุคคลนั้น จะไม่ตกเป็นทาสของความคิดปรุงแต่ง
จะพ้นออกจากความคิดปรุงแต่ง
.
เพราะฉะนั้น สติ สติ สติ
สติ เตสัง นิวารณัง
สติ โลกัสมิ ชาคโร
สติเป็นเครื่องกั้นกระแสโลก
กระแสแห่งอารมณ์
กระแสแห่งอายตนะ
.
หวังว่าพวกเราทุกๆท่าน ทุกๆคน
เป็นนักปฏิบัติ จะพึงตั้งสติ เฉพาะหน้า รู้สึกตัว
โดยอาศัยฐาน คือ อานาปานสติ
ของลมหายใจเข้าออก เนี่ยแระ เป็นฐาน
มัดไว้เป็นที่ตั้ง อยู่ในแห่งหนความเป็นผู้รู้ เป็นพุทธะ
ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในจิตในใจตัวเอง เนาะ
.
คำถามทางบ้าน: ยิ่งดูลม ทำไมยิ่งฟุ้งซ่าน?
หลวงตาตอบ :
ยิ่งดูลมเท่าไหร่ มันเหมือนไปกะเทาะ
ให้มันไหลออกมานะ ความคิดเนี่ย
“ มั น จ ะ ทุ ก ข์ ”
.
ยิ่งเห็นทุกข์ จะเห็นโทษของมัน
.
มันจะไหลออกมาต่อต้าน
เหมือนมันอยู่ดีๆ เราไปกวนมันน่ะ
ไปกระทุ้งมันออกมา นั่นแหละ
เขาเรียกว่า เห็นทุกข์
.
ยิ่งดูลมไปหนักๆ เนี่ยนะ โอ๊ยย
ความคิดมันจะฟุ้งออกมามากมาย
จนกว่ามันจะหมดไป .. .
ดู ล ม ต่ อ ไ ป น ะ
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #หลวงตาสินทรัพย์ เช้าวันที่ 29 มิ.ย. 66)

#พระสิ้นคิด
#LuangTa
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์


สติเป็นกุญแจดอกสำคัญ
ที่ไขเข้าไปสู่ประตูนิพพาน
.
“สติ” บุคคลใดที่มีสติ
เจริญสติ ก็เหมือนเดินเข้าไปใกล้พุทธะ
เดินเข้าไปใกล้พระพุทธเจ้า
อยู่ทุกฝีก้าว ทุกวินาที ทุกเวลา นั่นแหละ
.
มีสติก็มีความเพียร ขาดสติก็ขาดความเพียร
ไม่มีอะไรคุ้มครองเราได้มากเท่า ส ติ
.
สติเป็นตาใน สติเป็นจักษุ
เมื่อฝึกสติ เป็นมหาสติ
นั่นแหละคือ หนทางแห่ง ค ว า ม ดั บ ทุ ก ข์
.
มีสติ ก็มีปัญญา มีสติ ก็มีสมาธิ
อันเป็นสมบูรณ์แบบ เป็นสัมมาสมาธิ
สมาธิประกอบด้วยสติปัญญา หรือ
ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ
เรียกว่า “อนันตริยสมาธิ”
อนันต์ก็แปลว่าเชื่อมเหมือนสายน้ำ ไม่ขาดสาย
นั่นคือเป้าหมาย คือสูงสุด

.
จุดสิ้นสุดของการเดินทางนี้
เป้าหมายของการภาวนา
ก็คือความดับลงแห่งทุกข์ ถึงที่สุดแห่งทุกข์
.
บุคคลคนใดอยากพ้นทุกข์
แต่ว่าเกลียดทุกข์ มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะทุกข์นั่นแหละ คือ ธ ร ร ม
.
การรู้แจ้งในทุกข์ ในเหตุของทุกข์
คือการรู้แจ้ง แห่งความดับลงซึ่งทุกข์
.
เพราะฉะนั้น ศาสนาของเรา จึงเป็นศาสนาที่เลิศ
พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ตรง แล้วสมบูรณ์แล้ว
อานาปานสติที่พระองค์ใช้มา
พระองค์ก็เปิดรับรองว่า
“ตถาคต ต รั ส รู้ ด้วยอานาปานสติ”
.
เพราะฉะนั้นบุคคลใด มีสติอยู่เฉพาะหน้า
ในอานาปานสติ หรือ
ในลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
นั่นแหละคือ “การเป็นอยู่โดยชอบ”

.
เพราะฉะนั้นเหตุดี ย่อมผลดี
เหตุน้อย ผลน้อย
เหตุใหญ่ ผลใหญ่
เหตุพิเศษ ผลพิเศษ
เหตุปัจจะโย ทุกอย่างเกิดจากเหตุ
มีแต่อยากได้ แต่ไม่ยอมสร้างเหตุ
มันก็ได้ แต่ไม่เกิดผลหรอก
.
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ
เกิดจากการ “ประพฤติปฏิบัติ”
ไม่ใช่ไปนั่งคิดเอา ขอเอา อธิษฐานเอา
.
เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราตั้งอกตั้งใจ
นำพระธรรมคำสอนคือ อานาปานสติ มาปฏิบัติ
ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
.
ไม่มีใครช่วยเราได้
ไม่มีใครดลบันดาลให้เราดีเราชั่วได้
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นกรรม

ทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราทำเอง
เพราะฉะนั้น อย่ามัวเลย
อย่ามัวคิดเอาอย่างเดียวไม่ได้
.
เพราะไอ้ตัวความคิดเนี่ยแระ ตัวสำคัญ
ความคิดเป็นตัวเชื่อม นำไปสู่
ความสงสัย ลังเล ต่างๆนานา
นิวรณ์เนี่ยเป็น เครื่องกั้น เห็นมั้ย
เป็นเครื่องกั้น กั้นสู่ความสงบ
กั้นสู่ความสมาธิ
.
ถ้ามีสมาธิ ก็ไม่มีนิวรณ์
ถ้ามีนิวรณ์ ก็ไม่มีสมาธิ
เพราะเป็นเครื่องกั้น เป็นข้าศึก
เพราะฉะนั้น “ความคิด” จึงเป็นตัวเชื่อม
ไปสู่ความวุ่นวายความฟุ้งซ่านต่างๆนานา

.
เมื่อเราเห็นความคิด
“มารที่มีฤทธิ์คือ ความคิดของเราเอง” จำไว้
.
นั่งอยู่คนเดียว ก็หลอกตัวเอง ความคิด.. .
ไม่มีอะไรทำร้ายเราได้บ่อย
เท่าความคิดของเราเองหรอก เนาะ
.
คนอื่นหลอกเราเนี่ยนะ
ยังไม่มีโทษเท่าตัวเองเราหลอกตัวเองนะ จำไว้

.
เพราะฉะนั้น ความคิดกลัวสติ รู้ทัน
บุคคลใดเจริญสติ รู้เท่าทันความคิด นั่นแหละ
บุคคลนั้น จะไม่ตกเป็นทาสของความคิดปรุงแต่ง
จะพ้นออกจากความคิดปรุงแต่ง
.
เพราะฉะนั้น สติ สติ สติ
สติ เตสัง นิวารณัง
สติ โลกัสมิ ชาคโร
สติเป็นเครื่องกั้นกระแสโลก
กระแสแห่งอารมณ์
กระแสแห่งอายตนะ
.
หวังว่าพวกเราทุกๆท่าน ทุกๆคน
เป็นนักปฏิบัติ จะพึงตั้งสติ เฉพาะหน้า รู้สึกตัว
โดยอาศัยฐาน คือ อานาปานสติ
ของลมหายใจเข้าออก เนี่ยแระ เป็นฐาน
มัดไว้เป็นที่ตั้ง อยู่ในแห่งหนความเป็นผู้รู้ เป็นพุทธะ
ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในจิตในใจตัวเอง เนาะ
.
คำถามทางบ้าน: ยิ่งดูลม ทำไมยิ่งฟุ้งซ่าน?
หลวงตาตอบ :
ยิ่งดูลมเท่าไหร่ มันเหมือนไปกะเทาะ
ให้มันไหลออกมานะ ความคิดเนี่ย
“ มั น จ ะ ทุ ก ข์ ”
.
ยิ่งเห็นทุกข์ จะเห็นโทษของมัน
.
มันจะไหลออกมาต่อต้าน
เหมือนมันอยู่ดีๆ เราไปกวนมันน่ะ
ไปกระทุ้งมันออกมา นั่นแหละ
เขาเรียกว่า เห็นทุกข์
.
ยิ่งดูลมไปหนักๆ เนี่ยนะ โอ๊ยย
ความคิดมันจะฟุ้งออกมามากมาย
จนกว่ามันจะหมดไป .. .
ดู ล ม ต่ อ ไ ป น ะ
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #หลวงตาสินทรัพย์ เช้าวันที่ 29 มิ.ย. 66)

#พระสิ้นคิด
#LuangTa
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์


สติเป็นกุญแจดอกสำคัญ
ที่ไขเข้าไปสู่ประตูนิพพาน
.
“สติ” บุคคลใดที่มีสติ
เจริญสติ ก็เหมือนเดินเข้าไปใกล้พุทธะ
เดินเข้าไปใกล้พระพุทธเจ้า
อยู่ทุกฝีก้าว ทุกวินาที ทุกเวลา นั่นแหละ
.
มีสติก็มีความเพียร ขาดสติก็ขาดความเพียร
ไม่มีอะไรคุ้มครองเราได้มากเท่า ส ติ
.
สติเป็นตาใน สติเป็นจักษุ
เมื่อฝึกสติ เป็นมหาสติ
นั่นแหละคือ หนทางแห่ง ค ว า ม ดั บ ทุ ก ข์
.
มีสติ ก็มีปัญญา มีสติ ก็มีสมาธิ
อันเป็นสมบูรณ์แบบ เป็นสัมมาสมาธิ
สมาธิประกอบด้วยสติปัญญา หรือ
ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ
เรียกว่า “อนันตริยสมาธิ”
อนันต์ก็แปลว่าเชื่อมเหมือนสายน้ำ ไม่ขาดสาย
นั่นคือเป้าหมาย คือสูงสุด

.
จุดสิ้นสุดของการเดินทางนี้
เป้าหมายของการภาวนา
ก็คือความดับลงแห่งทุกข์ ถึงที่สุดแห่งทุกข์
.
บุคคลคนใดอยากพ้นทุกข์
แต่ว่าเกลียดทุกข์ มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะทุกข์นั่นแหละ คือ ธ ร ร ม
.
การรู้แจ้งในทุกข์ ในเหตุของทุกข์
คือการรู้แจ้ง แห่งความดับลงซึ่งทุกข์
.
เพราะฉะนั้น ศาสนาของเรา จึงเป็นศาสนาที่เลิศ
พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ตรง แล้วสมบูรณ์แล้ว
อานาปานสติที่พระองค์ใช้มา
พระองค์ก็เปิดรับรองว่า
“ตถาคต ต รั ส รู้ ด้วยอานาปานสติ”
.
เพราะฉะนั้นบุคคลใด มีสติอยู่เฉพาะหน้า
ในอานาปานสติ หรือ
ในลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
นั่นแหละคือ “การเป็นอยู่โดยชอบ”

.
เพราะฉะนั้นเหตุดี ย่อมผลดี
เหตุน้อย ผลน้อย
เหตุใหญ่ ผลใหญ่
เหตุพิเศษ ผลพิเศษ
เหตุปัจจะโย ทุกอย่างเกิดจากเหตุ
มีแต่อยากได้ แต่ไม่ยอมสร้างเหตุ
มันก็ได้ แต่ไม่เกิดผลหรอก
.
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ
เกิดจากการ “ประพฤติปฏิบัติ”
ไม่ใช่ไปนั่งคิดเอา ขอเอา อธิษฐานเอา
.
เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราตั้งอกตั้งใจ
นำพระธรรมคำสอนคือ อานาปานสติ มาปฏิบัติ
ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
.
ไม่มีใครช่วยเราได้
ไม่มีใครดลบันดาลให้เราดีเราชั่วได้
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นกรรม

ทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราทำเอง
เพราะฉะนั้น อย่ามัวเลย
อย่ามัวคิดเอาอย่างเดียวไม่ได้
.
เพราะไอ้ตัวความคิดเนี่ยแระ ตัวสำคัญ
ความคิดเป็นตัวเชื่อม นำไปสู่
ความสงสัย ลังเล ต่างๆนานา
นิวรณ์เนี่ยเป็น เครื่องกั้น เห็นมั้ย
เป็นเครื่องกั้น กั้นสู่ความสงบ
กั้นสู่ความสมาธิ
.
ถ้ามีสมาธิ ก็ไม่มีนิวรณ์
ถ้ามีนิวรณ์ ก็ไม่มีสมาธิ
เพราะเป็นเครื่องกั้น เป็นข้าศึก
เพราะฉะนั้น “ความคิด” จึงเป็นตัวเชื่อม
ไปสู่ความวุ่นวายความฟุ้งซ่านต่างๆนานา

.
เมื่อเราเห็นความคิด
“มารที่มีฤทธิ์คือ ความคิดของเราเอง” จำไว้
.
นั่งอยู่คนเดียว ก็หลอกตัวเอง ความคิด.. .
ไม่มีอะไรทำร้ายเราได้บ่อย
เท่าความคิดของเราเองหรอก เนาะ
.
คนอื่นหลอกเราเนี่ยนะ
ยังไม่มีโทษเท่าตัวเองเราหลอกตัวเองนะ จำไว้

.
เพราะฉะนั้น ความคิดกลัวสติ รู้ทัน
บุคคลใดเจริญสติ รู้เท่าทันความคิด นั่นแหละ
บุคคลนั้น จะไม่ตกเป็นทาสของความคิดปรุงแต่ง
จะพ้นออกจากความคิดปรุงแต่ง
.
เพราะฉะนั้น สติ สติ สติ
สติ เตสัง นิวารณัง
สติ โลกัสมิ ชาคโร
สติเป็นเครื่องกั้นกระแสโลก
กระแสแห่งอารมณ์
กระแสแห่งอายตนะ
.
หวังว่าพวกเราทุกๆท่าน ทุกๆคน
เป็นนักปฏิบัติ จะพึงตั้งสติ เฉพาะหน้า รู้สึกตัว
โดยอาศัยฐาน คือ อานาปานสติ
ของลมหายใจเข้าออก เนี่ยแระ เป็นฐาน
มัดไว้เป็นที่ตั้ง อยู่ในแห่งหนความเป็นผู้รู้ เป็นพุทธะ
ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในจิตในใจตัวเอง เนาะ
.
คำถามทางบ้าน: ยิ่งดูลม ทำไมยิ่งฟุ้งซ่าน?
หลวงตาตอบ :
ยิ่งดูลมเท่าไหร่ มันเหมือนไปกะเทาะ
ให้มันไหลออกมานะ ความคิดเนี่ย
“ มั น จ ะ ทุ ก ข์ ”
.
ยิ่งเห็นทุกข์ จะเห็นโทษของมัน
.
มันจะไหลออกมาต่อต้าน
เหมือนมันอยู่ดีๆ เราไปกวนมันน่ะ
ไปกระทุ้งมันออกมา นั่นแหละ
เขาเรียกว่า เห็นทุกข์
.
ยิ่งดูลมไปหนักๆ เนี่ยนะ โอ๊ยย
ความคิดมันจะฟุ้งออกมามากมาย
จนกว่ามันจะหมดไป .. .
ดู ล ม ต่ อ ไ ป น ะ
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #หลวงตาสินทรัพย์ เช้าวันที่ 29 มิ.ย. 66)

#พระสิ้นคิด
#LuangTa
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์


สติเป็นกุญแจดอกสำคัญ
ที่ไขเข้าไปสู่ประตูนิพพาน
.
“สติ” บุคคลใดที่มีสติ
เจริญสติ ก็เหมือนเดินเข้าไปใกล้พุทธะ
เดินเข้าไปใกล้พระพุทธเจ้า
อยู่ทุกฝีก้าว ทุกวินาที ทุกเวลา นั่นแหละ
.
มีสติก็มีความเพียร ขาดสติก็ขาดความเพียร
ไม่มีอะไรคุ้มครองเราได้มากเท่า ส ติ
.
สติเป็นตาใน สติเป็นจักษุ
เมื่อฝึกสติ เป็นมหาสติ
นั่นแหละคือ หนทางแห่ง ค ว า ม ดั บ ทุ ก ข์
.
มีสติ ก็มีปัญญา มีสติ ก็มีสมาธิ
อันเป็นสมบูรณ์แบบ เป็นสัมมาสมาธิ
สมาธิประกอบด้วยสติปัญญา หรือ
ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ
เรียกว่า “อนันตริยสมาธิ”
อนันต์ก็แปลว่าเชื่อมเหมือนสายน้ำ ไม่ขาดสาย
นั่นคือเป้าหมาย คือสูงสุด

.
จุดสิ้นสุดของการเดินทางนี้
เป้าหมายของการภาวนา
ก็คือความดับลงแห่งทุกข์ ถึงที่สุดแห่งทุกข์
.
บุคคลคนใดอยากพ้นทุกข์
แต่ว่าเกลียดทุกข์ มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะทุกข์นั่นแหละ คือ ธ ร ร ม
.
การรู้แจ้งในทุกข์ ในเหตุของทุกข์
คือการรู้แจ้ง แห่งความดับลงซึ่งทุกข์
.
เพราะฉะนั้น ศาสนาของเรา จึงเป็นศาสนาที่เลิศ
พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ตรง แล้วสมบูรณ์แล้ว
อานาปานสติที่พระองค์ใช้มา
พระองค์ก็เปิดรับรองว่า
“ตถาคต ต รั ส รู้ ด้วยอานาปานสติ”
.
เพราะฉะนั้นบุคคลใด มีสติอยู่เฉพาะหน้า
ในอานาปานสติ หรือ
ในลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
นั่นแหละคือ “การเป็นอยู่โดยชอบ”

.
เพราะฉะนั้นเหตุดี ย่อมผลดี
เหตุน้อย ผลน้อย
เหตุใหญ่ ผลใหญ่
เหตุพิเศษ ผลพิเศษ
เหตุปัจจะโย ทุกอย่างเกิดจากเหตุ
มีแต่อยากได้ แต่ไม่ยอมสร้างเหตุ
มันก็ได้ แต่ไม่เกิดผลหรอก
.
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ
เกิดจากการ “ประพฤติปฏิบัติ”
ไม่ใช่ไปนั่งคิดเอา ขอเอา อธิษฐานเอา
.
เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราตั้งอกตั้งใจ
นำพระธรรมคำสอนคือ อานาปานสติ มาปฏิบัติ
ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
.
ไม่มีใครช่วยเราได้
ไม่มีใครดลบันดาลให้เราดีเราชั่วได้
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นกรรม

ทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราทำเอง
เพราะฉะนั้น อย่ามัวเลย
อย่ามัวคิดเอาอย่างเดียวไม่ได้
.
เพราะไอ้ตัวความคิดเนี่ยแระ ตัวสำคัญ
ความคิดเป็นตัวเชื่อม นำไปสู่
ความสงสัย ลังเล ต่างๆนานา
นิวรณ์เนี่ยเป็น เครื่องกั้น เห็นมั้ย
เป็นเครื่องกั้น กั้นสู่ความสงบ
กั้นสู่ความสมาธิ
.
ถ้ามีสมาธิ ก็ไม่มีนิวรณ์
ถ้ามีนิวรณ์ ก็ไม่มีสมาธิ
เพราะเป็นเครื่องกั้น เป็นข้าศึก
เพราะฉะนั้น “ความคิด” จึงเป็นตัวเชื่อม
ไปสู่ความวุ่นวายความฟุ้งซ่านต่างๆนานา

.
เมื่อเราเห็นความคิด
“มารที่มีฤทธิ์คือ ความคิดของเราเอง” จำไว้
.
นั่งอยู่คนเดียว ก็หลอกตัวเอง ความคิด.. .
ไม่มีอะไรทำร้ายเราได้บ่อย
เท่าความคิดของเราเองหรอก เนาะ
.
คนอื่นหลอกเราเนี่ยนะ
ยังไม่มีโทษเท่าตัวเองเราหลอกตัวเองนะ จำไว้

.
เพราะฉะนั้น ความคิดกลัวสติ รู้ทัน
บุคคลใดเจริญสติ รู้เท่าทันความคิด นั่นแหละ
บุคคลนั้น จะไม่ตกเป็นทาสของความคิดปรุงแต่ง
จะพ้นออกจากความคิดปรุงแต่ง
.
เพราะฉะนั้น สติ สติ สติ
สติ เตสัง นิวารณัง
สติ โลกัสมิ ชาคโร
สติเป็นเครื่องกั้นกระแสโลก
กระแสแห่งอารมณ์
กระแสแห่งอายตนะ
.
หวังว่าพวกเราทุกๆท่าน ทุกๆคน
เป็นนักปฏิบัติ จะพึงตั้งสติ เฉพาะหน้า รู้สึกตัว
โดยอาศัยฐาน คือ อานาปานสติ
ของลมหายใจเข้าออก เนี่ยแระ เป็นฐาน
มัดไว้เป็นที่ตั้ง อยู่ในแห่งหนความเป็นผู้รู้ เป็นพุทธะ
ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในจิตในใจตัวเอง เนาะ
.
คำถามทางบ้าน: ยิ่งดูลม ทำไมยิ่งฟุ้งซ่าน?
หลวงตาตอบ :
ยิ่งดูลมเท่าไหร่ มันเหมือนไปกะเทาะ
ให้มันไหลออกมานะ ความคิดเนี่ย
“ มั น จ ะ ทุ ก ข์ ”
.
ยิ่งเห็นทุกข์ จะเห็นโทษของมัน
.
มันจะไหลออกมาต่อต้าน
เหมือนมันอยู่ดีๆ เราไปกวนมันน่ะ
ไปกระทุ้งมันออกมา นั่นแหละ
เขาเรียกว่า เห็นทุกข์
.
ยิ่งดูลมไปหนักๆ เนี่ยนะ โอ๊ยย
ความคิดมันจะฟุ้งออกมามากมาย
จนกว่ามันจะหมดไป .. .
ดู ล ม ต่ อ ไ ป น ะ
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #หลวงตาสินทรัพย์ เช้าวันที่ 29 มิ.ย. 66)

#พระสิ้นคิด
#LuangTa
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

หลวงตาสินทรัพย์

หลวงตาสินทรัพย์

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

หลวงตาสินทรัพย์ จรณธัมโม แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ด้วยสไตล์การบรรยายธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ดุเดือด เผ็ดมันส์ กระแทกกิเลสที่อยู่ภายในจิตใจตน ด้วยธรรมอันลึกซึ้ง

หลวงตาสินทรัพย์

หลวงตาสินทรัพย์

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

หลวงตาสินทรัพย์ จรณธัมโม แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ด้วยสไตล์การบรรยายธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ดุเดือด เผ็ดมันส์ กระแทกกิเลสที่อยู่ภายในจิตใจตน ด้วยธรรมอันลึกซึ้ง

หลวงตาสินทรัพย์

หลวงตาสินทรัพย์

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

หลวงตาสินทรัพย์ จรณธัมโม แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ด้วยสไตล์การบรรยายธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ดุเดือด เผ็ดมันส์ กระแทกกิเลสที่อยู่ภายในจิตใจตน ด้วยธรรมอันลึกซึ้ง

หลวงตาสินทรัพย์

หลวงตาสินทรัพย์

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

หลวงตาสินทรัพย์ จรณธัมโม แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ด้วยสไตล์การบรรยายธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ดุเดือด เผ็ดมันส์ กระแทกกิเลสที่อยู่ภายในจิตใจตน ด้วยธรรมอันลึกซึ้ง

ธรรมมะจากผู้บรรยายเดียวกัน

พระสิ้นคิด

หลวงตาสินทรัพย์

คนโง่เท่านั้น ที่คิดว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ

ข้อธรรมคําสอน

พระสิ้นคิด

หลวงตาสินทรัพย์

คนโง่เท่านั้น ที่คิดว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ

ข้อธรรมคําสอน

พระสิ้นคิด

หลวงตาสินทรัพย์

คนโง่เท่านั้น ที่คิดว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ

ข้อธรรมคําสอน

พระสิ้นคิด

หลวงตาสินทรัพย์

เห็นความคิด รู้เท่าทันความคิด

ข้อธรรมคําสอน

พระสิ้นคิด

หลวงตาสินทรัพย์

เห็นความคิด รู้เท่าทันความคิด

ข้อธรรมคําสอน

พระสิ้นคิด

หลวงตาสินทรัพย์

เห็นความคิด รู้เท่าทันความคิด

ข้อธรรมคําสอน

พระสิ้นคิด

หลวงตาสินทรัพย์

นิ่งเฉยกับความคิด

ข้อธรรมคําสอน

พระสิ้นคิด

หลวงตาสินทรัพย์

นิ่งเฉยกับความคิด

ข้อธรรมคําสอน

พระสิ้นคิด

หลวงตาสินทรัพย์

นิ่งเฉยกับความคิด

ข้อธรรมคําสอน