ความคิดกับปัญญาที่แท้จริง ต่างกันอย่างไร?

พระอาจารย์ตะวัน

บทบรรยาย

พระอาจารย์ตะวัน

บทบรรยาย

พระอาจารย์ตะวัน

บทบรรยาย

พระอาจารย์ตะวัน

บทบรรยาย


เราเข้าใจว่าความคิดคือปัญญา ใช่มั้ยล่ะ.. .
คนก็เลยเข้าใจว่าการใช้ความคิด เราคิดได้เก่ง
เราคิดได้ดีเนี่ยคือปัญญา
แต่ปัญญาในคติที่พระพุทธเจ้าท่านหมายถึงคือ
“ปัญญาที่เห็นตรงตามจริง”

.
เมื่อไหร่ที่เราเห็นตรงตามจริง เราก็จะไม่ถูกตัวเองหลอก แต่..
โดยพื้นฐาน เราก็ถูกตัวเองเนี่ยแหละ ห ล อ ก
เราก็เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้
ต้องเป็นเหมือนทุกอย่างที่เราเห็น ที่เราเคยได้ยิน
ต้องมาจากประสบการณ์เราเท่านั้น
ต้องเป็นเหมือนอย่างที่เราเห็นมาเท่านั้น
คนก็เลยเชื่อว่าต้องเป็นไปตามแบบที่เราคิด
เป็นการคาดคะเน แต่มัน“ไม่ใช่ปัญญา”
.
แล้วมันต่างกันยังไง?
ความคิดมันจะปิดเรา ส่วนปัญญามันจะทำให้เราเห็น
ความคิด ก็คือสังขาร คือเราปรุงแต่งขึ้นมาเอง

คือเราเข้าใจไปเองนั่นเอง
ส่วนปัญญาเนี่ย คือ ค ว า ม รู้
ความรู้ที่รู้ได้ด้วยตนเองนั่นแหละ ว่า..อะไรจริง หรืออะไรไม่จริง
.
อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ คือความรู้ที่มันแยกฝั่งออก
เมื่อรู้ เมื่อเห็น ด้วยตัวเองว่าอะไรไม่จริง
ก็จะพ้นจากสิ่งหลอกลวง เมื่อพ้นจากสิ่งหลอกลวง มันก็ไม่ทุกข์ละ
คือพ้นจากตัวเองนั่นเอง ก็ต้องอาศัยกำลัง สติ สมาธิ ปัญญา
.
มันก็ขึ้นอยู่กับการฝึกอบรมเพาะบ่มของเรา
การเพาะบ่มของเรา ก็คือ การเจริญสติ นั่นแหละ
ร ะ ลึ ก รู้ ทั น อ า ร ม ณ์ ตั ว เ อ ง
ร ะ ลึ ก รู้ อ ยู่ ที่ ฐ า น ข อ ง ล ม ห า ย ใ จ ไปเรื่อยๆ

เราก็จะเห็นชัดขึ้น.. .
.
ที่มันเคยวิ่งไปในเรื่องของกามวิตก
ที่มันเคยวิ่งไปในเรื่องของอดีต อนาคต
พอเราระลึก มีกำลังชัดขึ้น
มันก็เริ่ม พอรู้ทันมันก็จะหาย พอเรารู้ทัน มันก็จะเบาลง
.
เริ่มเห็นว่า มั น คิ ด . . เริ่มเห็นว่า”มันคิดของมันเอง”
แล้วก็จะเริ่มเห็นสมบัติเดิมของใจเรา
ว่าใจเรามันมีอะไร มันก็จะแสดง
อ่ออ เพราะเราพัวพัน คลุกคลี กับสัญญาแบบนี้
มันก็เลยปรุงแต่งไปในแบบนี้ มันจะปรุงแต่งไปตามสัญญา
.
คนที่ไปเห็นว่าเราเองเนี่ย ขังตัวเองด้วยความเชื่อ
ด้วยความคิดมานานมากแล้ว
ก็เลยไม่เชื่อ ก็คือไม่เชื่อตัวเองเนี่ยแระ
.
มันหลอกเราความคิดเนี่ย มันหลอกเรามากเลย
คนที่ไปสังเกตเห็นความคิดของตัวเองนั่นแหละ
คือผู้ที่เจริญสติ
.
พอกำลังมาตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบัน อินทรีพละก็จะมีกำลังขึ้นมา
อะไรที่เกิดขึ้นก็จะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมัน “ดับ”

มันจะประจักษ์ขึ้นมาในความรู้ของเรา
นั้นคือความรู้ที่เห็นว่า มั น ไ ม่ จ ริ ง นั่นเอง
.
เมื่อเรารู้มันก็ไม่ต้องถามใครล่ะที่นี้
อ่อ มันเป็นอย่างงี้ของมันเอง
มันเป็นอย่างงี้ มันเกิดขึ้น แล้วมันก็ดับไป.. .
.
เป็นงานที่หนักมากเหมือนกันนะ งานจิตภาวนา เพราะมันละเอียดมากตัวนี้
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม #พระอาจารย์ตะวัน 8 ส.ค. 65)


เราเข้าใจว่าความคิดคือปัญญา ใช่มั้ยล่ะ.. .
คนก็เลยเข้าใจว่าการใช้ความคิด เราคิดได้เก่ง
เราคิดได้ดีเนี่ยคือปัญญา
แต่ปัญญาในคติที่พระพุทธเจ้าท่านหมายถึงคือ
“ปัญญาที่เห็นตรงตามจริง”

.
เมื่อไหร่ที่เราเห็นตรงตามจริง เราก็จะไม่ถูกตัวเองหลอก แต่..
โดยพื้นฐาน เราก็ถูกตัวเองเนี่ยแหละ ห ล อ ก
เราก็เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้
ต้องเป็นเหมือนทุกอย่างที่เราเห็น ที่เราเคยได้ยิน
ต้องมาจากประสบการณ์เราเท่านั้น
ต้องเป็นเหมือนอย่างที่เราเห็นมาเท่านั้น
คนก็เลยเชื่อว่าต้องเป็นไปตามแบบที่เราคิด
เป็นการคาดคะเน แต่มัน“ไม่ใช่ปัญญา”
.
แล้วมันต่างกันยังไง?
ความคิดมันจะปิดเรา ส่วนปัญญามันจะทำให้เราเห็น
ความคิด ก็คือสังขาร คือเราปรุงแต่งขึ้นมาเอง

คือเราเข้าใจไปเองนั่นเอง
ส่วนปัญญาเนี่ย คือ ค ว า ม รู้
ความรู้ที่รู้ได้ด้วยตนเองนั่นแหละ ว่า..อะไรจริง หรืออะไรไม่จริง
.
อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ คือความรู้ที่มันแยกฝั่งออก
เมื่อรู้ เมื่อเห็น ด้วยตัวเองว่าอะไรไม่จริง
ก็จะพ้นจากสิ่งหลอกลวง เมื่อพ้นจากสิ่งหลอกลวง มันก็ไม่ทุกข์ละ
คือพ้นจากตัวเองนั่นเอง ก็ต้องอาศัยกำลัง สติ สมาธิ ปัญญา
.
มันก็ขึ้นอยู่กับการฝึกอบรมเพาะบ่มของเรา
การเพาะบ่มของเรา ก็คือ การเจริญสติ นั่นแหละ
ร ะ ลึ ก รู้ ทั น อ า ร ม ณ์ ตั ว เ อ ง
ร ะ ลึ ก รู้ อ ยู่ ที่ ฐ า น ข อ ง ล ม ห า ย ใ จ ไปเรื่อยๆ

เราก็จะเห็นชัดขึ้น.. .
.
ที่มันเคยวิ่งไปในเรื่องของกามวิตก
ที่มันเคยวิ่งไปในเรื่องของอดีต อนาคต
พอเราระลึก มีกำลังชัดขึ้น
มันก็เริ่ม พอรู้ทันมันก็จะหาย พอเรารู้ทัน มันก็จะเบาลง
.
เริ่มเห็นว่า มั น คิ ด . . เริ่มเห็นว่า”มันคิดของมันเอง”
แล้วก็จะเริ่มเห็นสมบัติเดิมของใจเรา
ว่าใจเรามันมีอะไร มันก็จะแสดง
อ่ออ เพราะเราพัวพัน คลุกคลี กับสัญญาแบบนี้
มันก็เลยปรุงแต่งไปในแบบนี้ มันจะปรุงแต่งไปตามสัญญา
.
คนที่ไปเห็นว่าเราเองเนี่ย ขังตัวเองด้วยความเชื่อ
ด้วยความคิดมานานมากแล้ว
ก็เลยไม่เชื่อ ก็คือไม่เชื่อตัวเองเนี่ยแระ
.
มันหลอกเราความคิดเนี่ย มันหลอกเรามากเลย
คนที่ไปสังเกตเห็นความคิดของตัวเองนั่นแหละ
คือผู้ที่เจริญสติ
.
พอกำลังมาตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบัน อินทรีพละก็จะมีกำลังขึ้นมา
อะไรที่เกิดขึ้นก็จะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมัน “ดับ”

มันจะประจักษ์ขึ้นมาในความรู้ของเรา
นั้นคือความรู้ที่เห็นว่า มั น ไ ม่ จ ริ ง นั่นเอง
.
เมื่อเรารู้มันก็ไม่ต้องถามใครล่ะที่นี้
อ่อ มันเป็นอย่างงี้ของมันเอง
มันเป็นอย่างงี้ มันเกิดขึ้น แล้วมันก็ดับไป.. .
.
เป็นงานที่หนักมากเหมือนกันนะ งานจิตภาวนา เพราะมันละเอียดมากตัวนี้
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม #พระอาจารย์ตะวัน 8 ส.ค. 65)


เราเข้าใจว่าความคิดคือปัญญา ใช่มั้ยล่ะ.. .
คนก็เลยเข้าใจว่าการใช้ความคิด เราคิดได้เก่ง
เราคิดได้ดีเนี่ยคือปัญญา
แต่ปัญญาในคติที่พระพุทธเจ้าท่านหมายถึงคือ
“ปัญญาที่เห็นตรงตามจริง”

.
เมื่อไหร่ที่เราเห็นตรงตามจริง เราก็จะไม่ถูกตัวเองหลอก แต่..
โดยพื้นฐาน เราก็ถูกตัวเองเนี่ยแหละ ห ล อ ก
เราก็เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้
ต้องเป็นเหมือนทุกอย่างที่เราเห็น ที่เราเคยได้ยิน
ต้องมาจากประสบการณ์เราเท่านั้น
ต้องเป็นเหมือนอย่างที่เราเห็นมาเท่านั้น
คนก็เลยเชื่อว่าต้องเป็นไปตามแบบที่เราคิด
เป็นการคาดคะเน แต่มัน“ไม่ใช่ปัญญา”
.
แล้วมันต่างกันยังไง?
ความคิดมันจะปิดเรา ส่วนปัญญามันจะทำให้เราเห็น
ความคิด ก็คือสังขาร คือเราปรุงแต่งขึ้นมาเอง

คือเราเข้าใจไปเองนั่นเอง
ส่วนปัญญาเนี่ย คือ ค ว า ม รู้
ความรู้ที่รู้ได้ด้วยตนเองนั่นแหละ ว่า..อะไรจริง หรืออะไรไม่จริง
.
อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ คือความรู้ที่มันแยกฝั่งออก
เมื่อรู้ เมื่อเห็น ด้วยตัวเองว่าอะไรไม่จริง
ก็จะพ้นจากสิ่งหลอกลวง เมื่อพ้นจากสิ่งหลอกลวง มันก็ไม่ทุกข์ละ
คือพ้นจากตัวเองนั่นเอง ก็ต้องอาศัยกำลัง สติ สมาธิ ปัญญา
.
มันก็ขึ้นอยู่กับการฝึกอบรมเพาะบ่มของเรา
การเพาะบ่มของเรา ก็คือ การเจริญสติ นั่นแหละ
ร ะ ลึ ก รู้ ทั น อ า ร ม ณ์ ตั ว เ อ ง
ร ะ ลึ ก รู้ อ ยู่ ที่ ฐ า น ข อ ง ล ม ห า ย ใ จ ไปเรื่อยๆ

เราก็จะเห็นชัดขึ้น.. .
.
ที่มันเคยวิ่งไปในเรื่องของกามวิตก
ที่มันเคยวิ่งไปในเรื่องของอดีต อนาคต
พอเราระลึก มีกำลังชัดขึ้น
มันก็เริ่ม พอรู้ทันมันก็จะหาย พอเรารู้ทัน มันก็จะเบาลง
.
เริ่มเห็นว่า มั น คิ ด . . เริ่มเห็นว่า”มันคิดของมันเอง”
แล้วก็จะเริ่มเห็นสมบัติเดิมของใจเรา
ว่าใจเรามันมีอะไร มันก็จะแสดง
อ่ออ เพราะเราพัวพัน คลุกคลี กับสัญญาแบบนี้
มันก็เลยปรุงแต่งไปในแบบนี้ มันจะปรุงแต่งไปตามสัญญา
.
คนที่ไปเห็นว่าเราเองเนี่ย ขังตัวเองด้วยความเชื่อ
ด้วยความคิดมานานมากแล้ว
ก็เลยไม่เชื่อ ก็คือไม่เชื่อตัวเองเนี่ยแระ
.
มันหลอกเราความคิดเนี่ย มันหลอกเรามากเลย
คนที่ไปสังเกตเห็นความคิดของตัวเองนั่นแหละ
คือผู้ที่เจริญสติ
.
พอกำลังมาตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบัน อินทรีพละก็จะมีกำลังขึ้นมา
อะไรที่เกิดขึ้นก็จะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมัน “ดับ”

มันจะประจักษ์ขึ้นมาในความรู้ของเรา
นั้นคือความรู้ที่เห็นว่า มั น ไ ม่ จ ริ ง นั่นเอง
.
เมื่อเรารู้มันก็ไม่ต้องถามใครล่ะที่นี้
อ่อ มันเป็นอย่างงี้ของมันเอง
มันเป็นอย่างงี้ มันเกิดขึ้น แล้วมันก็ดับไป.. .
.
เป็นงานที่หนักมากเหมือนกันนะ งานจิตภาวนา เพราะมันละเอียดมากตัวนี้
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม #พระอาจารย์ตะวัน 8 ส.ค. 65)


เราเข้าใจว่าความคิดคือปัญญา ใช่มั้ยล่ะ.. .
คนก็เลยเข้าใจว่าการใช้ความคิด เราคิดได้เก่ง
เราคิดได้ดีเนี่ยคือปัญญา
แต่ปัญญาในคติที่พระพุทธเจ้าท่านหมายถึงคือ
“ปัญญาที่เห็นตรงตามจริง”

.
เมื่อไหร่ที่เราเห็นตรงตามจริง เราก็จะไม่ถูกตัวเองหลอก แต่..
โดยพื้นฐาน เราก็ถูกตัวเองเนี่ยแหละ ห ล อ ก
เราก็เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้
ต้องเป็นเหมือนทุกอย่างที่เราเห็น ที่เราเคยได้ยิน
ต้องมาจากประสบการณ์เราเท่านั้น
ต้องเป็นเหมือนอย่างที่เราเห็นมาเท่านั้น
คนก็เลยเชื่อว่าต้องเป็นไปตามแบบที่เราคิด
เป็นการคาดคะเน แต่มัน“ไม่ใช่ปัญญา”
.
แล้วมันต่างกันยังไง?
ความคิดมันจะปิดเรา ส่วนปัญญามันจะทำให้เราเห็น
ความคิด ก็คือสังขาร คือเราปรุงแต่งขึ้นมาเอง

คือเราเข้าใจไปเองนั่นเอง
ส่วนปัญญาเนี่ย คือ ค ว า ม รู้
ความรู้ที่รู้ได้ด้วยตนเองนั่นแหละ ว่า..อะไรจริง หรืออะไรไม่จริง
.
อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ คือความรู้ที่มันแยกฝั่งออก
เมื่อรู้ เมื่อเห็น ด้วยตัวเองว่าอะไรไม่จริง
ก็จะพ้นจากสิ่งหลอกลวง เมื่อพ้นจากสิ่งหลอกลวง มันก็ไม่ทุกข์ละ
คือพ้นจากตัวเองนั่นเอง ก็ต้องอาศัยกำลัง สติ สมาธิ ปัญญา
.
มันก็ขึ้นอยู่กับการฝึกอบรมเพาะบ่มของเรา
การเพาะบ่มของเรา ก็คือ การเจริญสติ นั่นแหละ
ร ะ ลึ ก รู้ ทั น อ า ร ม ณ์ ตั ว เ อ ง
ร ะ ลึ ก รู้ อ ยู่ ที่ ฐ า น ข อ ง ล ม ห า ย ใ จ ไปเรื่อยๆ

เราก็จะเห็นชัดขึ้น.. .
.
ที่มันเคยวิ่งไปในเรื่องของกามวิตก
ที่มันเคยวิ่งไปในเรื่องของอดีต อนาคต
พอเราระลึก มีกำลังชัดขึ้น
มันก็เริ่ม พอรู้ทันมันก็จะหาย พอเรารู้ทัน มันก็จะเบาลง
.
เริ่มเห็นว่า มั น คิ ด . . เริ่มเห็นว่า”มันคิดของมันเอง”
แล้วก็จะเริ่มเห็นสมบัติเดิมของใจเรา
ว่าใจเรามันมีอะไร มันก็จะแสดง
อ่ออ เพราะเราพัวพัน คลุกคลี กับสัญญาแบบนี้
มันก็เลยปรุงแต่งไปในแบบนี้ มันจะปรุงแต่งไปตามสัญญา
.
คนที่ไปเห็นว่าเราเองเนี่ย ขังตัวเองด้วยความเชื่อ
ด้วยความคิดมานานมากแล้ว
ก็เลยไม่เชื่อ ก็คือไม่เชื่อตัวเองเนี่ยแระ
.
มันหลอกเราความคิดเนี่ย มันหลอกเรามากเลย
คนที่ไปสังเกตเห็นความคิดของตัวเองนั่นแหละ
คือผู้ที่เจริญสติ
.
พอกำลังมาตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบัน อินทรีพละก็จะมีกำลังขึ้นมา
อะไรที่เกิดขึ้นก็จะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมัน “ดับ”

มันจะประจักษ์ขึ้นมาในความรู้ของเรา
นั้นคือความรู้ที่เห็นว่า มั น ไ ม่ จ ริ ง นั่นเอง
.
เมื่อเรารู้มันก็ไม่ต้องถามใครล่ะที่นี้
อ่อ มันเป็นอย่างงี้ของมันเอง
มันเป็นอย่างงี้ มันเกิดขึ้น แล้วมันก็ดับไป.. .
.
เป็นงานที่หนักมากเหมือนกันนะ งานจิตภาวนา เพราะมันละเอียดมากตัวนี้
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม #พระอาจารย์ตะวัน 8 ส.ค. 65)

พระอาจารย์ตะวัน

สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง

พระอาจารย์ตะวัน ปัญญาวัฒฑโก ณ สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง จ.ลำปาง ด้วยธรรมที่เรียบง่าย ที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง อย่างน่าอัศจรรย์

พระอาจารย์ตะวัน

สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง

พระอาจารย์ตะวัน ปัญญาวัฒฑโก ณ สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง จ.ลำปาง ด้วยธรรมที่เรียบง่าย ที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง อย่างน่าอัศจรรย์

พระอาจารย์ตะวัน

สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง

พระอาจารย์ตะวัน ปัญญาวัฒฑโก ณ สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง จ.ลำปาง ด้วยธรรมที่เรียบง่าย ที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง อย่างน่าอัศจรรย์

พระอาจารย์ตะวัน

สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง

พระอาจารย์ตะวัน ปัญญาวัฒฑโก ณ สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง จ.ลำปาง ด้วยธรรมที่เรียบง่าย ที่จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง อย่างน่าอัศจรรย์