มายาของจิต กว้างใหญ่ดั่งจักรวาล

ครูบาฉ่าย

บทบรรยาย

ครูบาฉ่าย

บทบรรยาย

ครูบาฉ่าย

บทบรรยาย

ครูบาฉ่าย

บทบรรยาย


ถาม:

อยากให้ครูบาอธิบายสิ่งที่ครูบาเขียนเมื่อเช้าว่า
“มายาของจิต กว้างใหญ่ดั่งจักรวาล ใจนี้กว้างลึก ไม่มีประมาณ
แต่สามารถเรียนรู้ได้ หากหาสิ่งที่ไม่เคลื่อนเจอ จะพบจิตโดยเนื้อแท้”

ตอบ:
ความคิดเคลื่อนไหม? ความสุขเคลื่อนไหม?
ถ้ามันไม่เคลื่อนมันคงสุขตลอดเวลา ถูกไหม?
แสดงว่าของที่มันเกิดขึ้นแล้วดับลงนั้นเรียกว่าของที่เคลื่อนทั้งหมด
.
ความคิดที่เมื่อก่อนเคยเชื่อแบบนี้
ก็เปลี่ยนไปเชื่อแบบนี้ เปลี่ยนไหม มันเคลื่อนไปหมดเลย
ทุกอย่างที่มันเคลื่อนเป็นมายา
ความรู้ ตัวสติ เมื่อมีสติ กำหนดรู้ สติเป็นกลางที่สุดแล้ว
เพราะสติตัวนี้ จะไม่มีดี - ไม่มีชั่ว มีเพียงแต่รู้

.
หรือที่เรียกว่า“จิต” จิตชนิดนี้ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ เรียกว่า “สติ”
รู้อย่างเดียว ไม่ได้ว่าดี - ว่าชั่ว
ดี - ชั่วนั้น เป็นของเคลื่อน
ความดีก็เคลื่อน ความชั่วก็เคลื่อน แต่จิตตัวนี้ไม่เคลื่อน
.
ถึงบอกว่า ตอนมันคิดก็รู้ ตอนมันหยุดคิดก็รู้
ไอ้คิด กับ ไม่คิด “เปลี่ยน”
แต่ตัวที่ไป“รู้”ว่ามันคิดกับมันไม่คิด “ไม่เปลี่ยน”

.
เหมือนกับเราโกรธ เมื่อก่อนมันก็ไม่มีความโกรธ มันเหมือนความว่าง
มันเหมือนเราสงบอยู่ เหมือนความว่าง
ถ้าเปรียบความโกรธนั้น เป็นเหมือนพระอาทิตย์
ถูกกำเนิดขึ้นบนจักรวาล โดยวิธีการกำเนิดของมัน
มันมีต้นสายปลายเหตุนะ อยู่ดีๆมันจะเกิดขึ้นมาไม่ได้
ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่เราคาดคะเนขึ้นมา
แล้วก็เกิดขึ้นมาเป็นพระอาทิตย์
.
ที่นี้.. หมดช่วงอายุขัยของพระอาทิตย์ ระเบิด
พระอาทิตย์เปลี่ยนไป“ไม่มี” แต่ความว่างก็ยัง“มี”

.
ความโกรธเมื่อก่อนก็ ไม่มี ในจิตเนี่ย
พอมีอะไรมากระทบ ปั๊บ มันโกรธ ก็รับรู้ว่ามันโกรธ.. เห็นไหม?
ตอนมันไม่โกรธ ก็รับ“รู้”ว่ามันไม่โกรธ
พอมันโกรธขึ้นมา เราก็รู้ว่ามันโกรธ
ความโกรธมันดับลงไปด้วยอะไรก็ตาม
ด้วยเหตุปัจจัยของมัน ก็รับรู้ว่ามันหายไป
เห็นไหมว่า “มันมีสิ่งที่เคลื่อน” กับ “สิ่งที่ไม่เคลื่อน”
.
ถ้าเห็นตัวนี้ ปุ๊บ เราจะเห็นว่า อ๋อ.. ไอ้สิ่งที่มัน เ ค ลื่ อ น ทั้งหมดนั้น
ไม่สามารถควบคุมบัญชาการมันได้

คือ.. เห็นว่าไอสิ่งเหล่านั้น เราไม่เอาแล้ว เดี๋ยวมันก็ไปจากกู
.
ครูบาไพศาล วันนั้นน่าจะโมโหอะไรสักอย่าง หน้าหงิกหน้างอมาเลย
นั่งฉันอยู่ข้างเรา เราก็ทักว่า เป็นอะไรหน้าบูดแท้
“มันอยู่กับผมไม่นานหรอกครับ เดี๋ยวมันก็ไป”
คือท่าน“รู้”ว่าท่านโกรธอยู่ และท่านก็“รู้”ว่ามันอยู่กับท่านไม่นานหรอก
ประมาทไม่ได้นะ เป็นคำพูดง่ายๆ แต่มันเข้าถึงแก่นธรรม
.
คือท่านเห็นความ เกิด-ดับ ของอารมณ์นั้น เห็นไหม .. .
มันลึกซึ้งนะ แล้วจะไปประมาทได้หรอ อย่างนั้นน่ะ
ท่านก็รู้ว่ามันโกรธอยู่ไง แต่กูยังจัดการมันไม่ได้
แต่กูก็รู้ เดี๋ยวมึงก็ดับไป พยายามอยู่เข้าใจไหม
พยายามดับมันอยู่.. . (ดูลม)
.
คือท่านเห็นว่าอารมณ์นั้น เป็นของที่เกิดดับ ที่ครูบาจะสื่อ ให้เห็นนะ
อารมณ์เป็นของเกิดดับ เห็นไหม แล้วท่านก็พยายามดับมันอยู่
แล้วท่านก็รู้ด้วยว่ามันอยู่ด้วยกับท่านไม่นานหรอก
แต่เพียงแค่ท่านยังดับได้ไม่ชำนิชำนาญไง แต่พยายาม
เห็นทำแต่ถนนอย่างนั้นนะ ไม่ธรรมดา พูดขึ้นมาแต่ละคำ.. .
.
นี่แหละที่เรียกว่าของที่ มันนิ่ง ไม่เคลื่อน
.
หลวงตาเคยพูดไว้ว่า ใครล่ะ ที่ไปรู้สุข ไปรู้ทุกข์
ทำไมมึงไปเป็นสุขไปเป็นทุกข์ ทำไมมึงไม่เป็น“ผู้รู้”

.
มึงไปเป็นแต่สุขกับทุกข์อยู่นั่นแหละ
ทำไมมึงไม่เป็น ไอ้ผู้ไป“รู้”มัน
.
นั่นแหละคือของไม่เคลื่อน เข้าใจไหม..
จะทำยังไงถึงจะทำตัวนี้มันเด่นขึ้นมา
สติ ตัวเดียวเลย ลมเข้าก็เคลื่อน.. ลมออกก็เคลื่อน..
ไอ้ตัวไป“รู้”ลมเข้า - ลมออก “ไม่เคลื่อน”
.
มันรู้อยู่ ที่มันเคลื่อนคือ ลมเข้า - ลมออก ถ้าจะพูดให้มันง่ายๆ
แต่มันจะเกิดไหมล่ะ? ปัญญาชนิดนี้
ถ้ า ไ ม่ ฝึ ก ไ ม่ มี ท า ง เ กิ ด ห ร อ ก

.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ 15 ก.ค. 66)
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์


ถาม:

อยากให้ครูบาอธิบายสิ่งที่ครูบาเขียนเมื่อเช้าว่า
“มายาของจิต กว้างใหญ่ดั่งจักรวาล ใจนี้กว้างลึก ไม่มีประมาณ
แต่สามารถเรียนรู้ได้ หากหาสิ่งที่ไม่เคลื่อนเจอ จะพบจิตโดยเนื้อแท้”

ตอบ:
ความคิดเคลื่อนไหม? ความสุขเคลื่อนไหม?
ถ้ามันไม่เคลื่อนมันคงสุขตลอดเวลา ถูกไหม?
แสดงว่าของที่มันเกิดขึ้นแล้วดับลงนั้นเรียกว่าของที่เคลื่อนทั้งหมด
.
ความคิดที่เมื่อก่อนเคยเชื่อแบบนี้
ก็เปลี่ยนไปเชื่อแบบนี้ เปลี่ยนไหม มันเคลื่อนไปหมดเลย
ทุกอย่างที่มันเคลื่อนเป็นมายา
ความรู้ ตัวสติ เมื่อมีสติ กำหนดรู้ สติเป็นกลางที่สุดแล้ว
เพราะสติตัวนี้ จะไม่มีดี - ไม่มีชั่ว มีเพียงแต่รู้

.
หรือที่เรียกว่า“จิต” จิตชนิดนี้ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ เรียกว่า “สติ”
รู้อย่างเดียว ไม่ได้ว่าดี - ว่าชั่ว
ดี - ชั่วนั้น เป็นของเคลื่อน
ความดีก็เคลื่อน ความชั่วก็เคลื่อน แต่จิตตัวนี้ไม่เคลื่อน
.
ถึงบอกว่า ตอนมันคิดก็รู้ ตอนมันหยุดคิดก็รู้
ไอ้คิด กับ ไม่คิด “เปลี่ยน”
แต่ตัวที่ไป“รู้”ว่ามันคิดกับมันไม่คิด “ไม่เปลี่ยน”

.
เหมือนกับเราโกรธ เมื่อก่อนมันก็ไม่มีความโกรธ มันเหมือนความว่าง
มันเหมือนเราสงบอยู่ เหมือนความว่าง
ถ้าเปรียบความโกรธนั้น เป็นเหมือนพระอาทิตย์
ถูกกำเนิดขึ้นบนจักรวาล โดยวิธีการกำเนิดของมัน
มันมีต้นสายปลายเหตุนะ อยู่ดีๆมันจะเกิดขึ้นมาไม่ได้
ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่เราคาดคะเนขึ้นมา
แล้วก็เกิดขึ้นมาเป็นพระอาทิตย์
.
ที่นี้.. หมดช่วงอายุขัยของพระอาทิตย์ ระเบิด
พระอาทิตย์เปลี่ยนไป“ไม่มี” แต่ความว่างก็ยัง“มี”

.
ความโกรธเมื่อก่อนก็ ไม่มี ในจิตเนี่ย
พอมีอะไรมากระทบ ปั๊บ มันโกรธ ก็รับรู้ว่ามันโกรธ.. เห็นไหม?
ตอนมันไม่โกรธ ก็รับ“รู้”ว่ามันไม่โกรธ
พอมันโกรธขึ้นมา เราก็รู้ว่ามันโกรธ
ความโกรธมันดับลงไปด้วยอะไรก็ตาม
ด้วยเหตุปัจจัยของมัน ก็รับรู้ว่ามันหายไป
เห็นไหมว่า “มันมีสิ่งที่เคลื่อน” กับ “สิ่งที่ไม่เคลื่อน”
.
ถ้าเห็นตัวนี้ ปุ๊บ เราจะเห็นว่า อ๋อ.. ไอ้สิ่งที่มัน เ ค ลื่ อ น ทั้งหมดนั้น
ไม่สามารถควบคุมบัญชาการมันได้

คือ.. เห็นว่าไอสิ่งเหล่านั้น เราไม่เอาแล้ว เดี๋ยวมันก็ไปจากกู
.
ครูบาไพศาล วันนั้นน่าจะโมโหอะไรสักอย่าง หน้าหงิกหน้างอมาเลย
นั่งฉันอยู่ข้างเรา เราก็ทักว่า เป็นอะไรหน้าบูดแท้
“มันอยู่กับผมไม่นานหรอกครับ เดี๋ยวมันก็ไป”
คือท่าน“รู้”ว่าท่านโกรธอยู่ และท่านก็“รู้”ว่ามันอยู่กับท่านไม่นานหรอก
ประมาทไม่ได้นะ เป็นคำพูดง่ายๆ แต่มันเข้าถึงแก่นธรรม
.
คือท่านเห็นความ เกิด-ดับ ของอารมณ์นั้น เห็นไหม .. .
มันลึกซึ้งนะ แล้วจะไปประมาทได้หรอ อย่างนั้นน่ะ
ท่านก็รู้ว่ามันโกรธอยู่ไง แต่กูยังจัดการมันไม่ได้
แต่กูก็รู้ เดี๋ยวมึงก็ดับไป พยายามอยู่เข้าใจไหม
พยายามดับมันอยู่.. . (ดูลม)
.
คือท่านเห็นว่าอารมณ์นั้น เป็นของที่เกิดดับ ที่ครูบาจะสื่อ ให้เห็นนะ
อารมณ์เป็นของเกิดดับ เห็นไหม แล้วท่านก็พยายามดับมันอยู่
แล้วท่านก็รู้ด้วยว่ามันอยู่ด้วยกับท่านไม่นานหรอก
แต่เพียงแค่ท่านยังดับได้ไม่ชำนิชำนาญไง แต่พยายาม
เห็นทำแต่ถนนอย่างนั้นนะ ไม่ธรรมดา พูดขึ้นมาแต่ละคำ.. .
.
นี่แหละที่เรียกว่าของที่ มันนิ่ง ไม่เคลื่อน
.
หลวงตาเคยพูดไว้ว่า ใครล่ะ ที่ไปรู้สุข ไปรู้ทุกข์
ทำไมมึงไปเป็นสุขไปเป็นทุกข์ ทำไมมึงไม่เป็น“ผู้รู้”

.
มึงไปเป็นแต่สุขกับทุกข์อยู่นั่นแหละ
ทำไมมึงไม่เป็น ไอ้ผู้ไป“รู้”มัน
.
นั่นแหละคือของไม่เคลื่อน เข้าใจไหม..
จะทำยังไงถึงจะทำตัวนี้มันเด่นขึ้นมา
สติ ตัวเดียวเลย ลมเข้าก็เคลื่อน.. ลมออกก็เคลื่อน..
ไอ้ตัวไป“รู้”ลมเข้า - ลมออก “ไม่เคลื่อน”
.
มันรู้อยู่ ที่มันเคลื่อนคือ ลมเข้า - ลมออก ถ้าจะพูดให้มันง่ายๆ
แต่มันจะเกิดไหมล่ะ? ปัญญาชนิดนี้
ถ้ า ไ ม่ ฝึ ก ไ ม่ มี ท า ง เ กิ ด ห ร อ ก

.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ 15 ก.ค. 66)
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์


ถาม:

อยากให้ครูบาอธิบายสิ่งที่ครูบาเขียนเมื่อเช้าว่า
“มายาของจิต กว้างใหญ่ดั่งจักรวาล ใจนี้กว้างลึก ไม่มีประมาณ
แต่สามารถเรียนรู้ได้ หากหาสิ่งที่ไม่เคลื่อนเจอ จะพบจิตโดยเนื้อแท้”

ตอบ:
ความคิดเคลื่อนไหม? ความสุขเคลื่อนไหม?
ถ้ามันไม่เคลื่อนมันคงสุขตลอดเวลา ถูกไหม?
แสดงว่าของที่มันเกิดขึ้นแล้วดับลงนั้นเรียกว่าของที่เคลื่อนทั้งหมด
.
ความคิดที่เมื่อก่อนเคยเชื่อแบบนี้
ก็เปลี่ยนไปเชื่อแบบนี้ เปลี่ยนไหม มันเคลื่อนไปหมดเลย
ทุกอย่างที่มันเคลื่อนเป็นมายา
ความรู้ ตัวสติ เมื่อมีสติ กำหนดรู้ สติเป็นกลางที่สุดแล้ว
เพราะสติตัวนี้ จะไม่มีดี - ไม่มีชั่ว มีเพียงแต่รู้

.
หรือที่เรียกว่า“จิต” จิตชนิดนี้ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ เรียกว่า “สติ”
รู้อย่างเดียว ไม่ได้ว่าดี - ว่าชั่ว
ดี - ชั่วนั้น เป็นของเคลื่อน
ความดีก็เคลื่อน ความชั่วก็เคลื่อน แต่จิตตัวนี้ไม่เคลื่อน
.
ถึงบอกว่า ตอนมันคิดก็รู้ ตอนมันหยุดคิดก็รู้
ไอ้คิด กับ ไม่คิด “เปลี่ยน”
แต่ตัวที่ไป“รู้”ว่ามันคิดกับมันไม่คิด “ไม่เปลี่ยน”

.
เหมือนกับเราโกรธ เมื่อก่อนมันก็ไม่มีความโกรธ มันเหมือนความว่าง
มันเหมือนเราสงบอยู่ เหมือนความว่าง
ถ้าเปรียบความโกรธนั้น เป็นเหมือนพระอาทิตย์
ถูกกำเนิดขึ้นบนจักรวาล โดยวิธีการกำเนิดของมัน
มันมีต้นสายปลายเหตุนะ อยู่ดีๆมันจะเกิดขึ้นมาไม่ได้
ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่เราคาดคะเนขึ้นมา
แล้วก็เกิดขึ้นมาเป็นพระอาทิตย์
.
ที่นี้.. หมดช่วงอายุขัยของพระอาทิตย์ ระเบิด
พระอาทิตย์เปลี่ยนไป“ไม่มี” แต่ความว่างก็ยัง“มี”

.
ความโกรธเมื่อก่อนก็ ไม่มี ในจิตเนี่ย
พอมีอะไรมากระทบ ปั๊บ มันโกรธ ก็รับรู้ว่ามันโกรธ.. เห็นไหม?
ตอนมันไม่โกรธ ก็รับ“รู้”ว่ามันไม่โกรธ
พอมันโกรธขึ้นมา เราก็รู้ว่ามันโกรธ
ความโกรธมันดับลงไปด้วยอะไรก็ตาม
ด้วยเหตุปัจจัยของมัน ก็รับรู้ว่ามันหายไป
เห็นไหมว่า “มันมีสิ่งที่เคลื่อน” กับ “สิ่งที่ไม่เคลื่อน”
.
ถ้าเห็นตัวนี้ ปุ๊บ เราจะเห็นว่า อ๋อ.. ไอ้สิ่งที่มัน เ ค ลื่ อ น ทั้งหมดนั้น
ไม่สามารถควบคุมบัญชาการมันได้

คือ.. เห็นว่าไอสิ่งเหล่านั้น เราไม่เอาแล้ว เดี๋ยวมันก็ไปจากกู
.
ครูบาไพศาล วันนั้นน่าจะโมโหอะไรสักอย่าง หน้าหงิกหน้างอมาเลย
นั่งฉันอยู่ข้างเรา เราก็ทักว่า เป็นอะไรหน้าบูดแท้
“มันอยู่กับผมไม่นานหรอกครับ เดี๋ยวมันก็ไป”
คือท่าน“รู้”ว่าท่านโกรธอยู่ และท่านก็“รู้”ว่ามันอยู่กับท่านไม่นานหรอก
ประมาทไม่ได้นะ เป็นคำพูดง่ายๆ แต่มันเข้าถึงแก่นธรรม
.
คือท่านเห็นความ เกิด-ดับ ของอารมณ์นั้น เห็นไหม .. .
มันลึกซึ้งนะ แล้วจะไปประมาทได้หรอ อย่างนั้นน่ะ
ท่านก็รู้ว่ามันโกรธอยู่ไง แต่กูยังจัดการมันไม่ได้
แต่กูก็รู้ เดี๋ยวมึงก็ดับไป พยายามอยู่เข้าใจไหม
พยายามดับมันอยู่.. . (ดูลม)
.
คือท่านเห็นว่าอารมณ์นั้น เป็นของที่เกิดดับ ที่ครูบาจะสื่อ ให้เห็นนะ
อารมณ์เป็นของเกิดดับ เห็นไหม แล้วท่านก็พยายามดับมันอยู่
แล้วท่านก็รู้ด้วยว่ามันอยู่ด้วยกับท่านไม่นานหรอก
แต่เพียงแค่ท่านยังดับได้ไม่ชำนิชำนาญไง แต่พยายาม
เห็นทำแต่ถนนอย่างนั้นนะ ไม่ธรรมดา พูดขึ้นมาแต่ละคำ.. .
.
นี่แหละที่เรียกว่าของที่ มันนิ่ง ไม่เคลื่อน
.
หลวงตาเคยพูดไว้ว่า ใครล่ะ ที่ไปรู้สุข ไปรู้ทุกข์
ทำไมมึงไปเป็นสุขไปเป็นทุกข์ ทำไมมึงไม่เป็น“ผู้รู้”

.
มึงไปเป็นแต่สุขกับทุกข์อยู่นั่นแหละ
ทำไมมึงไม่เป็น ไอ้ผู้ไป“รู้”มัน
.
นั่นแหละคือของไม่เคลื่อน เข้าใจไหม..
จะทำยังไงถึงจะทำตัวนี้มันเด่นขึ้นมา
สติ ตัวเดียวเลย ลมเข้าก็เคลื่อน.. ลมออกก็เคลื่อน..
ไอ้ตัวไป“รู้”ลมเข้า - ลมออก “ไม่เคลื่อน”
.
มันรู้อยู่ ที่มันเคลื่อนคือ ลมเข้า - ลมออก ถ้าจะพูดให้มันง่ายๆ
แต่มันจะเกิดไหมล่ะ? ปัญญาชนิดนี้
ถ้ า ไ ม่ ฝึ ก ไ ม่ มี ท า ง เ กิ ด ห ร อ ก

.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ 15 ก.ค. 66)
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์


ถาม:

อยากให้ครูบาอธิบายสิ่งที่ครูบาเขียนเมื่อเช้าว่า
“มายาของจิต กว้างใหญ่ดั่งจักรวาล ใจนี้กว้างลึก ไม่มีประมาณ
แต่สามารถเรียนรู้ได้ หากหาสิ่งที่ไม่เคลื่อนเจอ จะพบจิตโดยเนื้อแท้”

ตอบ:
ความคิดเคลื่อนไหม? ความสุขเคลื่อนไหม?
ถ้ามันไม่เคลื่อนมันคงสุขตลอดเวลา ถูกไหม?
แสดงว่าของที่มันเกิดขึ้นแล้วดับลงนั้นเรียกว่าของที่เคลื่อนทั้งหมด
.
ความคิดที่เมื่อก่อนเคยเชื่อแบบนี้
ก็เปลี่ยนไปเชื่อแบบนี้ เปลี่ยนไหม มันเคลื่อนไปหมดเลย
ทุกอย่างที่มันเคลื่อนเป็นมายา
ความรู้ ตัวสติ เมื่อมีสติ กำหนดรู้ สติเป็นกลางที่สุดแล้ว
เพราะสติตัวนี้ จะไม่มีดี - ไม่มีชั่ว มีเพียงแต่รู้

.
หรือที่เรียกว่า“จิต” จิตชนิดนี้ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ เรียกว่า “สติ”
รู้อย่างเดียว ไม่ได้ว่าดี - ว่าชั่ว
ดี - ชั่วนั้น เป็นของเคลื่อน
ความดีก็เคลื่อน ความชั่วก็เคลื่อน แต่จิตตัวนี้ไม่เคลื่อน
.
ถึงบอกว่า ตอนมันคิดก็รู้ ตอนมันหยุดคิดก็รู้
ไอ้คิด กับ ไม่คิด “เปลี่ยน”
แต่ตัวที่ไป“รู้”ว่ามันคิดกับมันไม่คิด “ไม่เปลี่ยน”

.
เหมือนกับเราโกรธ เมื่อก่อนมันก็ไม่มีความโกรธ มันเหมือนความว่าง
มันเหมือนเราสงบอยู่ เหมือนความว่าง
ถ้าเปรียบความโกรธนั้น เป็นเหมือนพระอาทิตย์
ถูกกำเนิดขึ้นบนจักรวาล โดยวิธีการกำเนิดของมัน
มันมีต้นสายปลายเหตุนะ อยู่ดีๆมันจะเกิดขึ้นมาไม่ได้
ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่เราคาดคะเนขึ้นมา
แล้วก็เกิดขึ้นมาเป็นพระอาทิตย์
.
ที่นี้.. หมดช่วงอายุขัยของพระอาทิตย์ ระเบิด
พระอาทิตย์เปลี่ยนไป“ไม่มี” แต่ความว่างก็ยัง“มี”

.
ความโกรธเมื่อก่อนก็ ไม่มี ในจิตเนี่ย
พอมีอะไรมากระทบ ปั๊บ มันโกรธ ก็รับรู้ว่ามันโกรธ.. เห็นไหม?
ตอนมันไม่โกรธ ก็รับ“รู้”ว่ามันไม่โกรธ
พอมันโกรธขึ้นมา เราก็รู้ว่ามันโกรธ
ความโกรธมันดับลงไปด้วยอะไรก็ตาม
ด้วยเหตุปัจจัยของมัน ก็รับรู้ว่ามันหายไป
เห็นไหมว่า “มันมีสิ่งที่เคลื่อน” กับ “สิ่งที่ไม่เคลื่อน”
.
ถ้าเห็นตัวนี้ ปุ๊บ เราจะเห็นว่า อ๋อ.. ไอ้สิ่งที่มัน เ ค ลื่ อ น ทั้งหมดนั้น
ไม่สามารถควบคุมบัญชาการมันได้

คือ.. เห็นว่าไอสิ่งเหล่านั้น เราไม่เอาแล้ว เดี๋ยวมันก็ไปจากกู
.
ครูบาไพศาล วันนั้นน่าจะโมโหอะไรสักอย่าง หน้าหงิกหน้างอมาเลย
นั่งฉันอยู่ข้างเรา เราก็ทักว่า เป็นอะไรหน้าบูดแท้
“มันอยู่กับผมไม่นานหรอกครับ เดี๋ยวมันก็ไป”
คือท่าน“รู้”ว่าท่านโกรธอยู่ และท่านก็“รู้”ว่ามันอยู่กับท่านไม่นานหรอก
ประมาทไม่ได้นะ เป็นคำพูดง่ายๆ แต่มันเข้าถึงแก่นธรรม
.
คือท่านเห็นความ เกิด-ดับ ของอารมณ์นั้น เห็นไหม .. .
มันลึกซึ้งนะ แล้วจะไปประมาทได้หรอ อย่างนั้นน่ะ
ท่านก็รู้ว่ามันโกรธอยู่ไง แต่กูยังจัดการมันไม่ได้
แต่กูก็รู้ เดี๋ยวมึงก็ดับไป พยายามอยู่เข้าใจไหม
พยายามดับมันอยู่.. . (ดูลม)
.
คือท่านเห็นว่าอารมณ์นั้น เป็นของที่เกิดดับ ที่ครูบาจะสื่อ ให้เห็นนะ
อารมณ์เป็นของเกิดดับ เห็นไหม แล้วท่านก็พยายามดับมันอยู่
แล้วท่านก็รู้ด้วยว่ามันอยู่ด้วยกับท่านไม่นานหรอก
แต่เพียงแค่ท่านยังดับได้ไม่ชำนิชำนาญไง แต่พยายาม
เห็นทำแต่ถนนอย่างนั้นนะ ไม่ธรรมดา พูดขึ้นมาแต่ละคำ.. .
.
นี่แหละที่เรียกว่าของที่ มันนิ่ง ไม่เคลื่อน
.
หลวงตาเคยพูดไว้ว่า ใครล่ะ ที่ไปรู้สุข ไปรู้ทุกข์
ทำไมมึงไปเป็นสุขไปเป็นทุกข์ ทำไมมึงไม่เป็น“ผู้รู้”

.
มึงไปเป็นแต่สุขกับทุกข์อยู่นั่นแหละ
ทำไมมึงไม่เป็น ไอ้ผู้ไป“รู้”มัน
.
นั่นแหละคือของไม่เคลื่อน เข้าใจไหม..
จะทำยังไงถึงจะทำตัวนี้มันเด่นขึ้นมา
สติ ตัวเดียวเลย ลมเข้าก็เคลื่อน.. ลมออกก็เคลื่อน..
ไอ้ตัวไป“รู้”ลมเข้า - ลมออก “ไม่เคลื่อน”
.
มันรู้อยู่ ที่มันเคลื่อนคือ ลมเข้า - ลมออก ถ้าจะพูดให้มันง่ายๆ
แต่มันจะเกิดไหมล่ะ? ปัญญาชนิดนี้
ถ้ า ไ ม่ ฝึ ก ไ ม่ มี ท า ง เ กิ ด ห ร อ ก

.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ 15 ก.ค. 66)
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

ครูบาฉ่าย

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ธรรมมะที่ดุดัน ชัดแจ้ง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง

ครูบาฉ่าย

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ธรรมมะที่ดุดัน ชัดแจ้ง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง

ครูบาฉ่าย

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ธรรมมะที่ดุดัน ชัดแจ้ง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง

ครูบาฉ่าย

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ธรรมมะที่ดุดัน ชัดแจ้ง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง