ว่าด้วยเรื่อง "มายา"
ครูบาฉ่าย
บทบรรยาย
ครูบาฉ่าย
บทบรรยาย
ครูบาฉ่าย
บทบรรยาย
ครูบาฉ่าย
บทบรรยาย
มีครั้งหนึ่งเรา(ครูบาฉ่าย สมัยยังไม่บวช)
กำลังจะขับรถเข้าโรงงาน พระมาจากไหนไม่รู้
ท่านว่ามาจากมหาสารคาม ถ้าจำไม่ผิด
เราเลยจอดรับตรงเซเว่น ท่านอยู่หน้าเซเว่นพอดี
ท่านบอกว่าจะไปเจดีย์หลวงตามหาบัว
เราก็ไปส่งนะ เพราะเลยโรงงานเราไปไม่กี่กิโลเอง
พอไปส่งปุ๊ป ขอเงินค่ารถ เราก็ให้ไปพันหนึ่ง
สายๆมาหน่อย เราออกมากินข้าวประมาณเที่ยง
กินข้าวเสร็จเราขับรถกลับเข้าไป เอาอีกหล่ะ ยืนอยู่ที่เดิม
มุ่งหน้าไปทางเจดีย์อีกแล้ว เราก็เลยจอดรถ ถอยรถมาเลย เปิดกระจกลง นิมนต์ครับไปด้วยมั๊ย
พอเราว่างี้ แกก็รีบเดินไปเลย....
มันมีประเภทนี้เยอะ ต้องเข้าใจ
ต้องแยกแยะให้ออก พระดีๆก็มีเยอะ
เห็นห่มเหลืองอย่างนี้ ที่กระเลวกระลาดก็เยอะ
ไม่ใช่ว่า เราจะไม่แยกแยะเลย
จะไปตีเหมารวมว่าพระไม่ดีหรือดีทั้งหมด
ตีว่าพระดีทั้งหมด ก็ไม่ถูก
ตีว่าพระไม่ดีทั้งหมด ก็ไม่ถูก
ต้องแยกเป็นตัวบุคคล เป็นคนๆไป
ในคนนั้นต้องแยกซอยออกไปอีกว่า
ในคนคนหนึ่งต้องแยกเป็น กรรม เป็น กรรม ไป
ไม่ใช่ว่าคนนั้นจะเลวทั้งหมด
ไม่ใช่ว่าคนนั้นจะดีทั้งหมด
ย่อมมีความต่างในนั้น
จนกว่าคนนั้นจะเข้าถึงควมบริสุทธิ์ได้
เข้าถึงศีลถึงธรรมได้
นั้นนะ วางใจได้แล้ว เค้าเรียกว่าปลอดภัย
ไม่เป็นพิษเป็นภัย นั้นถึงจะวางใจได้
ซึ่งตัวนี้ ดูจากไหน... "ร ะ ย ะ เ ว ล า"
ที่เราอยู่ด้วยกัน ดูความมั่นคงของใจ
พระพุทธองค์ตร้สว่า ดูคนต้องดู 2 ปี
จะดูนิสัยว่าพอจะเป็นไปได้อย่างไร
แต่พวกเราดูประเดี๋ยวประด๋าว แค่ตาเห็นก็ตัดสินไปแล้ว
แต่ในการตัดสินนั้นก็ไม่แน่นอน
เปลี่ยนได้ เพราะใจมันเปลี่ยนอยู่เสมอ
ต้องดูอยู่บนฐานที่ไม่แน่นอน
แต่พอรู้นิสัยคร่าวๆที่เค้าสะสมไว้ ต้องใช้เวลา
เพราะคนเราเข้าหากันใหม่ๆ
ย่อมเอาสิ่งที่ดีที่สุดเข้าไปหากัน
อย่างตัวครูบาเองอยากได้ผู้หญิงสวยๆคนนี้
มาเป็นแฟน เราก็ต้องเอาสิ่งที่ดีที่สุดเข้าไปแลก
เข้าไปให้เค้าเห็นก่อน สิ่งไม่ดีเก็บไว้ก่อน
มันเป็นอย่างนี้กันหมดนั้นแหละ
พอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองควบคุมเกมได้แล้ว
จึงค่อยๆปล่อยตัวนั้นออกมา
ทุกคนเป็นอย่างงั้น
โดยนิสัยพื้นฐานจะเป็นลักษณะอย่างนั้น
เค้าเรียกว่า "ม า ย า"
มายาที่เกิดจากเจตนา
เพราะมีเจตนาที่อยากได้สิ่งนั้น
จึงสร้างมายาชนิดนี้ขึ้นมา
เหมือนหมู่คณะพระเจ้าพระสงฆ์
หากต้องการให้คนยอมรับ
ต้องการเป็นที่ศรัทธา
ต้องการหวังลาภยศสรรเสริญกับญาติโยม
จึงสร้างมายาขึ้นมา ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง
นั่นแหละ..มายา ไม่เป็นความเป็นธรรมชาติของคน
เพราะอะไร เพราะข้างในลึกๆต้องการให้เค้าศรัทธา
คนประเภทนี้ศรัทธาตัวเองไม่ได้
หากคนศรัทธาตนเองได้ จะไม่สนใจเรื่องว่า
ใครจะศรัทธาหรือไม่ศรัทธา
คนประเภทนี้จะมีสมบัติมาก
คือตนเข้าถึงศรัทธาแท้ ตนเป็นที่พึ่งของตนได้
ไม่สนหรอกใครจะเคารพหรือไม่ เป็นเรื่องของเค้า
จะไม่มีมายา คนประเภทนี้ หน้าอย่างไร หลังอย่างนั้น
คำพูดจะเป็นโดยลักษณะอย่างไร
การกระทำจะเป็นลักษณะอย่างนั้น
อย่างองค์หลวงตา(สินทรัพย์ จรณธัมโม)
ไม่มีดัดจริต ไม่มีหน้าหลัง กูเป็นอย่างไงก็เป็นอย่างนั้น
นั้นเรียกว่า เป็นผู้ไม่มีมายา เรียกว่า มารยาท นั่นแหละ
แต่ไม่ใช่ว่า ไม่มีมารยาทแล้วจะไปเบียดเบียนเค้านะ
เพระาฉะนั้น จงเป็นธรรมชาติของเรา
อยู่บนฐานของความดี อยู่บนฐานที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ไม่เบียดเบียนตนเอง เป็นคนธรรมดาที่มีสติตื่นรู้
“เป็นผู้มีสติ” ไม่ใช่คนวิเศษ ไม่ใช่คนอภินิหาร
ไม่ใช่พูดถึงเหาะเหินเดินอากาศ
ไม่ใช่สิ่งที่พระเราควรพูดถึง
เอาความจริงพูดกันเลยนะ
เหาะได้แล้วมันวิเศษตรงไหน บินได้แล้ววิเศษตรงไหน
แมงกุดจี่ขี้ก็บินได้ หมุดขี้ได้ด้วย มันวิเศษตรงไหน
“มันไม่ใช่ศิลปะในการพ้นทุกข์”
ที่พูดนี้ไม้ได้ดูถูกพวกบินได้นะ
จะบินได้ก็บินไป จะเหาะได้ก็เหาะไป
แต่พูดให้เห็นว่า นั้นไม่ใช่สาระสำคัญ
สาระสำคัญคือ “เป็นคนธรรมดาที่ตื่นรู้”
การตื่นรู้นั้นคือ สาระสำคัญของนักภาวะนา
สติ ตื่นรู้ นั้นแหละ อยู่บนฐานของมนุษย์
คือความเป็นปรกติธรรมดาของมนุษย์ ที่มีสติตื่นรู้
ตั้งแต่ รู้ดี รู้ชั่ว จนรู้ออกจากดี ออกจากชั่วได้
จนรู้ข้างใน ไม่ออกไปข้างนอก
เรียกว่า จิตตั้งมั้่นอยู่ในนี้ ..
ที่หลวงปู่ดุลย์ท่านพูดว่า
รู้ข้างนอกเป็นสมุทัย รู้ข้างในเป็นมรรค
หากเราจะปฏิบัติมรรค คือรู้ข้างในตัวเรานี้
รู้เรื่องของตัวเองนี้
เพราะฉะนั้นเรามาปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์ ต้องรู้ข้างใน
เรียกว่า เป็นผู้มีสติตื่นรู้ตลอดเวลา
นี้ต่างหากคือใจความสำคัญของนักภาวนา
ถอดคำไลฟ์สด #ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ
จังหันเช้า ณ ศาลาสิ้นลม
19 สิงหาคม 2566
มีครั้งหนึ่งเรา(ครูบาฉ่าย สมัยยังไม่บวช)
กำลังจะขับรถเข้าโรงงาน พระมาจากไหนไม่รู้
ท่านว่ามาจากมหาสารคาม ถ้าจำไม่ผิด
เราเลยจอดรับตรงเซเว่น ท่านอยู่หน้าเซเว่นพอดี
ท่านบอกว่าจะไปเจดีย์หลวงตามหาบัว
เราก็ไปส่งนะ เพราะเลยโรงงานเราไปไม่กี่กิโลเอง
พอไปส่งปุ๊ป ขอเงินค่ารถ เราก็ให้ไปพันหนึ่ง
สายๆมาหน่อย เราออกมากินข้าวประมาณเที่ยง
กินข้าวเสร็จเราขับรถกลับเข้าไป เอาอีกหล่ะ ยืนอยู่ที่เดิม
มุ่งหน้าไปทางเจดีย์อีกแล้ว เราก็เลยจอดรถ ถอยรถมาเลย เปิดกระจกลง นิมนต์ครับไปด้วยมั๊ย
พอเราว่างี้ แกก็รีบเดินไปเลย....
มันมีประเภทนี้เยอะ ต้องเข้าใจ
ต้องแยกแยะให้ออก พระดีๆก็มีเยอะ
เห็นห่มเหลืองอย่างนี้ ที่กระเลวกระลาดก็เยอะ
ไม่ใช่ว่า เราจะไม่แยกแยะเลย
จะไปตีเหมารวมว่าพระไม่ดีหรือดีทั้งหมด
ตีว่าพระดีทั้งหมด ก็ไม่ถูก
ตีว่าพระไม่ดีทั้งหมด ก็ไม่ถูก
ต้องแยกเป็นตัวบุคคล เป็นคนๆไป
ในคนนั้นต้องแยกซอยออกไปอีกว่า
ในคนคนหนึ่งต้องแยกเป็น กรรม เป็น กรรม ไป
ไม่ใช่ว่าคนนั้นจะเลวทั้งหมด
ไม่ใช่ว่าคนนั้นจะดีทั้งหมด
ย่อมมีความต่างในนั้น
จนกว่าคนนั้นจะเข้าถึงควมบริสุทธิ์ได้
เข้าถึงศีลถึงธรรมได้
นั้นนะ วางใจได้แล้ว เค้าเรียกว่าปลอดภัย
ไม่เป็นพิษเป็นภัย นั้นถึงจะวางใจได้
ซึ่งตัวนี้ ดูจากไหน... "ร ะ ย ะ เ ว ล า"
ที่เราอยู่ด้วยกัน ดูความมั่นคงของใจ
พระพุทธองค์ตร้สว่า ดูคนต้องดู 2 ปี
จะดูนิสัยว่าพอจะเป็นไปได้อย่างไร
แต่พวกเราดูประเดี๋ยวประด๋าว แค่ตาเห็นก็ตัดสินไปแล้ว
แต่ในการตัดสินนั้นก็ไม่แน่นอน
เปลี่ยนได้ เพราะใจมันเปลี่ยนอยู่เสมอ
ต้องดูอยู่บนฐานที่ไม่แน่นอน
แต่พอรู้นิสัยคร่าวๆที่เค้าสะสมไว้ ต้องใช้เวลา
เพราะคนเราเข้าหากันใหม่ๆ
ย่อมเอาสิ่งที่ดีที่สุดเข้าไปหากัน
อย่างตัวครูบาเองอยากได้ผู้หญิงสวยๆคนนี้
มาเป็นแฟน เราก็ต้องเอาสิ่งที่ดีที่สุดเข้าไปแลก
เข้าไปให้เค้าเห็นก่อน สิ่งไม่ดีเก็บไว้ก่อน
มันเป็นอย่างนี้กันหมดนั้นแหละ
พอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองควบคุมเกมได้แล้ว
จึงค่อยๆปล่อยตัวนั้นออกมา
ทุกคนเป็นอย่างงั้น
โดยนิสัยพื้นฐานจะเป็นลักษณะอย่างนั้น
เค้าเรียกว่า "ม า ย า"
มายาที่เกิดจากเจตนา
เพราะมีเจตนาที่อยากได้สิ่งนั้น
จึงสร้างมายาชนิดนี้ขึ้นมา
เหมือนหมู่คณะพระเจ้าพระสงฆ์
หากต้องการให้คนยอมรับ
ต้องการเป็นที่ศรัทธา
ต้องการหวังลาภยศสรรเสริญกับญาติโยม
จึงสร้างมายาขึ้นมา ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง
นั่นแหละ..มายา ไม่เป็นความเป็นธรรมชาติของคน
เพราะอะไร เพราะข้างในลึกๆต้องการให้เค้าศรัทธา
คนประเภทนี้ศรัทธาตัวเองไม่ได้
หากคนศรัทธาตนเองได้ จะไม่สนใจเรื่องว่า
ใครจะศรัทธาหรือไม่ศรัทธา
คนประเภทนี้จะมีสมบัติมาก
คือตนเข้าถึงศรัทธาแท้ ตนเป็นที่พึ่งของตนได้
ไม่สนหรอกใครจะเคารพหรือไม่ เป็นเรื่องของเค้า
จะไม่มีมายา คนประเภทนี้ หน้าอย่างไร หลังอย่างนั้น
คำพูดจะเป็นโดยลักษณะอย่างไร
การกระทำจะเป็นลักษณะอย่างนั้น
อย่างองค์หลวงตา(สินทรัพย์ จรณธัมโม)
ไม่มีดัดจริต ไม่มีหน้าหลัง กูเป็นอย่างไงก็เป็นอย่างนั้น
นั้นเรียกว่า เป็นผู้ไม่มีมายา เรียกว่า มารยาท นั่นแหละ
แต่ไม่ใช่ว่า ไม่มีมารยาทแล้วจะไปเบียดเบียนเค้านะ
เพระาฉะนั้น จงเป็นธรรมชาติของเรา
อยู่บนฐานของความดี อยู่บนฐานที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ไม่เบียดเบียนตนเอง เป็นคนธรรมดาที่มีสติตื่นรู้
“เป็นผู้มีสติ” ไม่ใช่คนวิเศษ ไม่ใช่คนอภินิหาร
ไม่ใช่พูดถึงเหาะเหินเดินอากาศ
ไม่ใช่สิ่งที่พระเราควรพูดถึง
เอาความจริงพูดกันเลยนะ
เหาะได้แล้วมันวิเศษตรงไหน บินได้แล้ววิเศษตรงไหน
แมงกุดจี่ขี้ก็บินได้ หมุดขี้ได้ด้วย มันวิเศษตรงไหน
“มันไม่ใช่ศิลปะในการพ้นทุกข์”
ที่พูดนี้ไม้ได้ดูถูกพวกบินได้นะ
จะบินได้ก็บินไป จะเหาะได้ก็เหาะไป
แต่พูดให้เห็นว่า นั้นไม่ใช่สาระสำคัญ
สาระสำคัญคือ “เป็นคนธรรมดาที่ตื่นรู้”
การตื่นรู้นั้นคือ สาระสำคัญของนักภาวะนา
สติ ตื่นรู้ นั้นแหละ อยู่บนฐานของมนุษย์
คือความเป็นปรกติธรรมดาของมนุษย์ ที่มีสติตื่นรู้
ตั้งแต่ รู้ดี รู้ชั่ว จนรู้ออกจากดี ออกจากชั่วได้
จนรู้ข้างใน ไม่ออกไปข้างนอก
เรียกว่า จิตตั้งมั้่นอยู่ในนี้ ..
ที่หลวงปู่ดุลย์ท่านพูดว่า
รู้ข้างนอกเป็นสมุทัย รู้ข้างในเป็นมรรค
หากเราจะปฏิบัติมรรค คือรู้ข้างในตัวเรานี้
รู้เรื่องของตัวเองนี้
เพราะฉะนั้นเรามาปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์ ต้องรู้ข้างใน
เรียกว่า เป็นผู้มีสติตื่นรู้ตลอดเวลา
นี้ต่างหากคือใจความสำคัญของนักภาวนา
ถอดคำไลฟ์สด #ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ
จังหันเช้า ณ ศาลาสิ้นลม
19 สิงหาคม 2566
มีครั้งหนึ่งเรา(ครูบาฉ่าย สมัยยังไม่บวช)
กำลังจะขับรถเข้าโรงงาน พระมาจากไหนไม่รู้
ท่านว่ามาจากมหาสารคาม ถ้าจำไม่ผิด
เราเลยจอดรับตรงเซเว่น ท่านอยู่หน้าเซเว่นพอดี
ท่านบอกว่าจะไปเจดีย์หลวงตามหาบัว
เราก็ไปส่งนะ เพราะเลยโรงงานเราไปไม่กี่กิโลเอง
พอไปส่งปุ๊ป ขอเงินค่ารถ เราก็ให้ไปพันหนึ่ง
สายๆมาหน่อย เราออกมากินข้าวประมาณเที่ยง
กินข้าวเสร็จเราขับรถกลับเข้าไป เอาอีกหล่ะ ยืนอยู่ที่เดิม
มุ่งหน้าไปทางเจดีย์อีกแล้ว เราก็เลยจอดรถ ถอยรถมาเลย เปิดกระจกลง นิมนต์ครับไปด้วยมั๊ย
พอเราว่างี้ แกก็รีบเดินไปเลย....
มันมีประเภทนี้เยอะ ต้องเข้าใจ
ต้องแยกแยะให้ออก พระดีๆก็มีเยอะ
เห็นห่มเหลืองอย่างนี้ ที่กระเลวกระลาดก็เยอะ
ไม่ใช่ว่า เราจะไม่แยกแยะเลย
จะไปตีเหมารวมว่าพระไม่ดีหรือดีทั้งหมด
ตีว่าพระดีทั้งหมด ก็ไม่ถูก
ตีว่าพระไม่ดีทั้งหมด ก็ไม่ถูก
ต้องแยกเป็นตัวบุคคล เป็นคนๆไป
ในคนนั้นต้องแยกซอยออกไปอีกว่า
ในคนคนหนึ่งต้องแยกเป็น กรรม เป็น กรรม ไป
ไม่ใช่ว่าคนนั้นจะเลวทั้งหมด
ไม่ใช่ว่าคนนั้นจะดีทั้งหมด
ย่อมมีความต่างในนั้น
จนกว่าคนนั้นจะเข้าถึงควมบริสุทธิ์ได้
เข้าถึงศีลถึงธรรมได้
นั้นนะ วางใจได้แล้ว เค้าเรียกว่าปลอดภัย
ไม่เป็นพิษเป็นภัย นั้นถึงจะวางใจได้
ซึ่งตัวนี้ ดูจากไหน... "ร ะ ย ะ เ ว ล า"
ที่เราอยู่ด้วยกัน ดูความมั่นคงของใจ
พระพุทธองค์ตร้สว่า ดูคนต้องดู 2 ปี
จะดูนิสัยว่าพอจะเป็นไปได้อย่างไร
แต่พวกเราดูประเดี๋ยวประด๋าว แค่ตาเห็นก็ตัดสินไปแล้ว
แต่ในการตัดสินนั้นก็ไม่แน่นอน
เปลี่ยนได้ เพราะใจมันเปลี่ยนอยู่เสมอ
ต้องดูอยู่บนฐานที่ไม่แน่นอน
แต่พอรู้นิสัยคร่าวๆที่เค้าสะสมไว้ ต้องใช้เวลา
เพราะคนเราเข้าหากันใหม่ๆ
ย่อมเอาสิ่งที่ดีที่สุดเข้าไปหากัน
อย่างตัวครูบาเองอยากได้ผู้หญิงสวยๆคนนี้
มาเป็นแฟน เราก็ต้องเอาสิ่งที่ดีที่สุดเข้าไปแลก
เข้าไปให้เค้าเห็นก่อน สิ่งไม่ดีเก็บไว้ก่อน
มันเป็นอย่างนี้กันหมดนั้นแหละ
พอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองควบคุมเกมได้แล้ว
จึงค่อยๆปล่อยตัวนั้นออกมา
ทุกคนเป็นอย่างงั้น
โดยนิสัยพื้นฐานจะเป็นลักษณะอย่างนั้น
เค้าเรียกว่า "ม า ย า"
มายาที่เกิดจากเจตนา
เพราะมีเจตนาที่อยากได้สิ่งนั้น
จึงสร้างมายาชนิดนี้ขึ้นมา
เหมือนหมู่คณะพระเจ้าพระสงฆ์
หากต้องการให้คนยอมรับ
ต้องการเป็นที่ศรัทธา
ต้องการหวังลาภยศสรรเสริญกับญาติโยม
จึงสร้างมายาขึ้นมา ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง
นั่นแหละ..มายา ไม่เป็นความเป็นธรรมชาติของคน
เพราะอะไร เพราะข้างในลึกๆต้องการให้เค้าศรัทธา
คนประเภทนี้ศรัทธาตัวเองไม่ได้
หากคนศรัทธาตนเองได้ จะไม่สนใจเรื่องว่า
ใครจะศรัทธาหรือไม่ศรัทธา
คนประเภทนี้จะมีสมบัติมาก
คือตนเข้าถึงศรัทธาแท้ ตนเป็นที่พึ่งของตนได้
ไม่สนหรอกใครจะเคารพหรือไม่ เป็นเรื่องของเค้า
จะไม่มีมายา คนประเภทนี้ หน้าอย่างไร หลังอย่างนั้น
คำพูดจะเป็นโดยลักษณะอย่างไร
การกระทำจะเป็นลักษณะอย่างนั้น
อย่างองค์หลวงตา(สินทรัพย์ จรณธัมโม)
ไม่มีดัดจริต ไม่มีหน้าหลัง กูเป็นอย่างไงก็เป็นอย่างนั้น
นั้นเรียกว่า เป็นผู้ไม่มีมายา เรียกว่า มารยาท นั่นแหละ
แต่ไม่ใช่ว่า ไม่มีมารยาทแล้วจะไปเบียดเบียนเค้านะ
เพระาฉะนั้น จงเป็นธรรมชาติของเรา
อยู่บนฐานของความดี อยู่บนฐานที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ไม่เบียดเบียนตนเอง เป็นคนธรรมดาที่มีสติตื่นรู้
“เป็นผู้มีสติ” ไม่ใช่คนวิเศษ ไม่ใช่คนอภินิหาร
ไม่ใช่พูดถึงเหาะเหินเดินอากาศ
ไม่ใช่สิ่งที่พระเราควรพูดถึง
เอาความจริงพูดกันเลยนะ
เหาะได้แล้วมันวิเศษตรงไหน บินได้แล้ววิเศษตรงไหน
แมงกุดจี่ขี้ก็บินได้ หมุดขี้ได้ด้วย มันวิเศษตรงไหน
“มันไม่ใช่ศิลปะในการพ้นทุกข์”
ที่พูดนี้ไม้ได้ดูถูกพวกบินได้นะ
จะบินได้ก็บินไป จะเหาะได้ก็เหาะไป
แต่พูดให้เห็นว่า นั้นไม่ใช่สาระสำคัญ
สาระสำคัญคือ “เป็นคนธรรมดาที่ตื่นรู้”
การตื่นรู้นั้นคือ สาระสำคัญของนักภาวะนา
สติ ตื่นรู้ นั้นแหละ อยู่บนฐานของมนุษย์
คือความเป็นปรกติธรรมดาของมนุษย์ ที่มีสติตื่นรู้
ตั้งแต่ รู้ดี รู้ชั่ว จนรู้ออกจากดี ออกจากชั่วได้
จนรู้ข้างใน ไม่ออกไปข้างนอก
เรียกว่า จิตตั้งมั้่นอยู่ในนี้ ..
ที่หลวงปู่ดุลย์ท่านพูดว่า
รู้ข้างนอกเป็นสมุทัย รู้ข้างในเป็นมรรค
หากเราจะปฏิบัติมรรค คือรู้ข้างในตัวเรานี้
รู้เรื่องของตัวเองนี้
เพราะฉะนั้นเรามาปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์ ต้องรู้ข้างใน
เรียกว่า เป็นผู้มีสติตื่นรู้ตลอดเวลา
นี้ต่างหากคือใจความสำคัญของนักภาวนา
ถอดคำไลฟ์สด #ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ
จังหันเช้า ณ ศาลาสิ้นลม
19 สิงหาคม 2566
มีครั้งหนึ่งเรา(ครูบาฉ่าย สมัยยังไม่บวช)
กำลังจะขับรถเข้าโรงงาน พระมาจากไหนไม่รู้
ท่านว่ามาจากมหาสารคาม ถ้าจำไม่ผิด
เราเลยจอดรับตรงเซเว่น ท่านอยู่หน้าเซเว่นพอดี
ท่านบอกว่าจะไปเจดีย์หลวงตามหาบัว
เราก็ไปส่งนะ เพราะเลยโรงงานเราไปไม่กี่กิโลเอง
พอไปส่งปุ๊ป ขอเงินค่ารถ เราก็ให้ไปพันหนึ่ง
สายๆมาหน่อย เราออกมากินข้าวประมาณเที่ยง
กินข้าวเสร็จเราขับรถกลับเข้าไป เอาอีกหล่ะ ยืนอยู่ที่เดิม
มุ่งหน้าไปทางเจดีย์อีกแล้ว เราก็เลยจอดรถ ถอยรถมาเลย เปิดกระจกลง นิมนต์ครับไปด้วยมั๊ย
พอเราว่างี้ แกก็รีบเดินไปเลย....
มันมีประเภทนี้เยอะ ต้องเข้าใจ
ต้องแยกแยะให้ออก พระดีๆก็มีเยอะ
เห็นห่มเหลืองอย่างนี้ ที่กระเลวกระลาดก็เยอะ
ไม่ใช่ว่า เราจะไม่แยกแยะเลย
จะไปตีเหมารวมว่าพระไม่ดีหรือดีทั้งหมด
ตีว่าพระดีทั้งหมด ก็ไม่ถูก
ตีว่าพระไม่ดีทั้งหมด ก็ไม่ถูก
ต้องแยกเป็นตัวบุคคล เป็นคนๆไป
ในคนนั้นต้องแยกซอยออกไปอีกว่า
ในคนคนหนึ่งต้องแยกเป็น กรรม เป็น กรรม ไป
ไม่ใช่ว่าคนนั้นจะเลวทั้งหมด
ไม่ใช่ว่าคนนั้นจะดีทั้งหมด
ย่อมมีความต่างในนั้น
จนกว่าคนนั้นจะเข้าถึงควมบริสุทธิ์ได้
เข้าถึงศีลถึงธรรมได้
นั้นนะ วางใจได้แล้ว เค้าเรียกว่าปลอดภัย
ไม่เป็นพิษเป็นภัย นั้นถึงจะวางใจได้
ซึ่งตัวนี้ ดูจากไหน... "ร ะ ย ะ เ ว ล า"
ที่เราอยู่ด้วยกัน ดูความมั่นคงของใจ
พระพุทธองค์ตร้สว่า ดูคนต้องดู 2 ปี
จะดูนิสัยว่าพอจะเป็นไปได้อย่างไร
แต่พวกเราดูประเดี๋ยวประด๋าว แค่ตาเห็นก็ตัดสินไปแล้ว
แต่ในการตัดสินนั้นก็ไม่แน่นอน
เปลี่ยนได้ เพราะใจมันเปลี่ยนอยู่เสมอ
ต้องดูอยู่บนฐานที่ไม่แน่นอน
แต่พอรู้นิสัยคร่าวๆที่เค้าสะสมไว้ ต้องใช้เวลา
เพราะคนเราเข้าหากันใหม่ๆ
ย่อมเอาสิ่งที่ดีที่สุดเข้าไปหากัน
อย่างตัวครูบาเองอยากได้ผู้หญิงสวยๆคนนี้
มาเป็นแฟน เราก็ต้องเอาสิ่งที่ดีที่สุดเข้าไปแลก
เข้าไปให้เค้าเห็นก่อน สิ่งไม่ดีเก็บไว้ก่อน
มันเป็นอย่างนี้กันหมดนั้นแหละ
พอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองควบคุมเกมได้แล้ว
จึงค่อยๆปล่อยตัวนั้นออกมา
ทุกคนเป็นอย่างงั้น
โดยนิสัยพื้นฐานจะเป็นลักษณะอย่างนั้น
เค้าเรียกว่า "ม า ย า"
มายาที่เกิดจากเจตนา
เพราะมีเจตนาที่อยากได้สิ่งนั้น
จึงสร้างมายาชนิดนี้ขึ้นมา
เหมือนหมู่คณะพระเจ้าพระสงฆ์
หากต้องการให้คนยอมรับ
ต้องการเป็นที่ศรัทธา
ต้องการหวังลาภยศสรรเสริญกับญาติโยม
จึงสร้างมายาขึ้นมา ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง
นั่นแหละ..มายา ไม่เป็นความเป็นธรรมชาติของคน
เพราะอะไร เพราะข้างในลึกๆต้องการให้เค้าศรัทธา
คนประเภทนี้ศรัทธาตัวเองไม่ได้
หากคนศรัทธาตนเองได้ จะไม่สนใจเรื่องว่า
ใครจะศรัทธาหรือไม่ศรัทธา
คนประเภทนี้จะมีสมบัติมาก
คือตนเข้าถึงศรัทธาแท้ ตนเป็นที่พึ่งของตนได้
ไม่สนหรอกใครจะเคารพหรือไม่ เป็นเรื่องของเค้า
จะไม่มีมายา คนประเภทนี้ หน้าอย่างไร หลังอย่างนั้น
คำพูดจะเป็นโดยลักษณะอย่างไร
การกระทำจะเป็นลักษณะอย่างนั้น
อย่างองค์หลวงตา(สินทรัพย์ จรณธัมโม)
ไม่มีดัดจริต ไม่มีหน้าหลัง กูเป็นอย่างไงก็เป็นอย่างนั้น
นั้นเรียกว่า เป็นผู้ไม่มีมายา เรียกว่า มารยาท นั่นแหละ
แต่ไม่ใช่ว่า ไม่มีมารยาทแล้วจะไปเบียดเบียนเค้านะ
เพระาฉะนั้น จงเป็นธรรมชาติของเรา
อยู่บนฐานของความดี อยู่บนฐานที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ไม่เบียดเบียนตนเอง เป็นคนธรรมดาที่มีสติตื่นรู้
“เป็นผู้มีสติ” ไม่ใช่คนวิเศษ ไม่ใช่คนอภินิหาร
ไม่ใช่พูดถึงเหาะเหินเดินอากาศ
ไม่ใช่สิ่งที่พระเราควรพูดถึง
เอาความจริงพูดกันเลยนะ
เหาะได้แล้วมันวิเศษตรงไหน บินได้แล้ววิเศษตรงไหน
แมงกุดจี่ขี้ก็บินได้ หมุดขี้ได้ด้วย มันวิเศษตรงไหน
“มันไม่ใช่ศิลปะในการพ้นทุกข์”
ที่พูดนี้ไม้ได้ดูถูกพวกบินได้นะ
จะบินได้ก็บินไป จะเหาะได้ก็เหาะไป
แต่พูดให้เห็นว่า นั้นไม่ใช่สาระสำคัญ
สาระสำคัญคือ “เป็นคนธรรมดาที่ตื่นรู้”
การตื่นรู้นั้นคือ สาระสำคัญของนักภาวะนา
สติ ตื่นรู้ นั้นแหละ อยู่บนฐานของมนุษย์
คือความเป็นปรกติธรรมดาของมนุษย์ ที่มีสติตื่นรู้
ตั้งแต่ รู้ดี รู้ชั่ว จนรู้ออกจากดี ออกจากชั่วได้
จนรู้ข้างใน ไม่ออกไปข้างนอก
เรียกว่า จิตตั้งมั้่นอยู่ในนี้ ..
ที่หลวงปู่ดุลย์ท่านพูดว่า
รู้ข้างนอกเป็นสมุทัย รู้ข้างในเป็นมรรค
หากเราจะปฏิบัติมรรค คือรู้ข้างในตัวเรานี้
รู้เรื่องของตัวเองนี้
เพราะฉะนั้นเรามาปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์ ต้องรู้ข้างใน
เรียกว่า เป็นผู้มีสติตื่นรู้ตลอดเวลา
นี้ต่างหากคือใจความสำคัญของนักภาวนา
ถอดคำไลฟ์สด #ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ
จังหันเช้า ณ ศาลาสิ้นลม
19 สิงหาคม 2566
ครูบาฉ่าย
วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์
ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ธรรมมะที่ดุดัน ชัดแจ้ง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง
ครูบาฉ่าย
วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์
ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ธรรมมะที่ดุดัน ชัดแจ้ง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง
ครูบาฉ่าย
วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์
ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ธรรมมะที่ดุดัน ชัดแจ้ง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง
ครูบาฉ่าย
วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์
ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ธรรมมะที่ดุดัน ชัดแจ้ง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง
ธรรมมะจากผู้บรรยายเดียวกัน
ครูบาฉ่าย
อย่าหาโทษใส่ตัวเอง
ข้อธรรมคําสอน
ครูบาฉ่าย
อย่าหาโทษใส่ตัวเอง
ข้อธรรมคําสอน
ครูบาฉ่าย
อย่าหาโทษใส่ตัวเอง
ข้อธรรมคําสอน
ครูบาฉ่าย
ใจที่ตั้งมั่น
ข้อธรรมคําสอน
ครูบาฉ่าย
ใจที่ตั้งมั่น
ข้อธรรมคําสอน
ครูบาฉ่าย
ใจที่ตั้งมั่น
ข้อธรรมคําสอน
ครูบาฉ่าย
ว่าด้วยเรื่อง ความคิด
บทบรรยาย
ครูบาฉ่าย
ว่าด้วยเรื่อง ความคิด
บทบรรยาย
ครูบาฉ่าย
ว่าด้วยเรื่อง ความคิด
บทบรรยาย
© 2024 DhammaSinkid.com
© 2024 DhammaSinkid.com
© 2024 DhammaSinkid.com
© 2024 DhammaSinkid.com