"สิ้นสงสัย" 🗝️🗝️

ครูบาฉ่าย

บทบรรยาย

ครูบาฉ่าย

บทบรรยาย

ครูบาฉ่าย

บทบรรยาย

ครูบาฉ่าย

บทบรรยาย

ครูบาฉ่าย, คัมภีรปัญโญ
ครูบาฉ่าย, คัมภีรปัญโญ
ครูบาฉ่าย, คัมภีรปัญโญ
ครูบาฉ่าย, คัมภีรปัญโญ

"สิ้นสงสัย"
ใจที่เข้าถึงความจริงได้ เห็นความจริงตามความเป็นจริง
อยู่ทุกขณะจิต คำว่าสิ้นสงสัย ก็คือเห็นสมมุติอย่างแจ่มแจ้งเท่านั้นเอง เห็นความคิดเป็นของไม่แน่นอน เรียกว่า..สังขารไม่เที่ยง


สังขารในที่นี้ แม้แต่ความคิดหรือว่าร่างกาย
เห็นได้ชัดว่าเป็นของเกิดและดับ
เป็นของอาศัยชั่วคราวเท่านั้น
เป็นของจรมาแล้วก็จรไป จรไปแล้วก็จรมา
ไม่ใช่ของเที่ยงของมั่นคง

เห็นสิ่งที่มันเคลื่อน และเห็นสิ่งที่มันไม่เคลื่อน เพราะอะไร...

สติปัญญาเป็นตัวเห็น เห็นสิ่งที่มันเคลื่อน คือ
อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ความคิด ความเชื่อต่างๆนั้นเปลี่ยนไป อารมณ์เปลี่ยนไป ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย นั้นเรียกว่า
เห็นของไม่เที่ยง เห็นของที่มันเคลื่อน

ยังเห็นอีกสิ่งหนึ่งคือ “ตัวผู้รู้”

สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ ลมหยาบก็รู้ ลมละเอียดก็รู้
ลมนั้นเปลี่ยนไป แต่ผู้รู้นั้นผู้เดิม คิดก็รู้ ไม่คิดก็รู้
ไม่สงบก็รู้ สงบก็รู้ ไอ้ตัวรู้..ไม่เคยเปลี่ยน

จนเห็นตัวรู้นี้อย่างชัด ว่าตัวรู้นี้ไม่เคยเคลื่อน
ไม่เคยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีแต่กิริยา
หรือเรียกว่าอาการของจิตนั้นเปลี่ยน
แต่ของเดิมไม่เปลี่ยนนั้นคือ “จิต”ใจนี้ไม่เปลี่ยน


เข้าถึง2สิ่งนี้ เห็น2สิ่งนี้ เป็นธรรมชาติ

เห็นขันธ์5 เป็นธรรมชาติ เห็นจิต เป็นธรรมชาติ
เพราะมีสติ ประกอบไปด้วยองค์ปัญญา
หรือเรียกว่า ญาณทัศนะ เด่นขึ้นมาจนเห็น2สิ่งนี้ทำงาน
จึงเห็น2สิ่งนี้ว่าเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์ บุคคลใดๆทั้งนั้น
เป็นเพียงสภาวะทำงานร่วมกัน

ส่วนตัวที่ไปเห็นคือองค์ปัญญานี้ ก็ไม่ใช่สัตว์บุุคลใดๆทั้งนั้น
พูดคร่าวๆ..หากบุคคลใดปฏิบัติไปถึงจุดๆนี้ได้
ก็หมดสิ้นคำถาม หมดสิ้นคำตอบ
ไม่ต้องการใครมายอมรับ ไม่ต้องไปถามใคร
ไม่ต้องถามครูบาอาจารย์องค์ไหนหรอกว่า..
ผมเป็นอย่างไร ผมบรรลุหรือไม่บรรลุ
แล้วไม่บรรลุสิ่งใดด้วย...
ไม่รู้สึกว่าตนบรรลุธรรมสิ่งใด
ไม่รู้สึกว่าตนเป็นพระโสดาบัน
ไม่รู้สึกตนว่าเป็นพระสกิทาคามี อนาคามี
พระอรหันต์ แม้แต่พระอรหันต์ก็ไม่ได้เป็น
“ไม่มีความรู้สึกว่าตนนี้เป็นอะไร”
ที่ไปที่มาหาไม่เจอ

เมื่อก่อนรู้หมดว่าตัวเองจะไปเกิดที่ไหน
ตายปุ๊ปจะไปเกิดที่ไหน รู้หมด
แต่พอถึงจุดๆหนึ่ง ไม่รู้เลยว่าตนนั้นจะไปไหน
ตอบไม่ได้เลย มาจากไหนก็ไม่รู้ จะไปไหนก็ไม่รู้
และไม่สงสัยด้วยว่าจะไปหรือจะมา เป็นปกติ

ไม่รู้จะอธิบายคำนี้อย่างไง มันไม่มีคำพูดใดๆมาบรรยาสิ่งนี้ได้ แต่ความรู้นั้นเด่นอยู่ข้างใน จะหาคำพูดใดมาอธิบายสภาวะที่ประสบพบเจอนี้ไม่ได้ นี่แค่พูดเพียงเศษเสี่ยวที่จะพอพูดให้เราเข้าใจได้ แต่ข้างในนี้สิ้นคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น หรือพูดง่ายๆว่า.. ไม่รู้ธรรมใดเลย

หมดซึ่งธรรม แม้แต่บาปแต่บุญก็ไม่รู้ และก็ไม่สงสัยด้วย
เมื่อก่อนนี้รู้หมดบาปบุญ พอถึงจุดหนึ่งไม่รู้เลย

เหมือนไม่มีบาปไม่มีบุญ หรือจะเรียกว่า นิพพาน ก็ไม่มีด้วยซ้ำ
เป็นเพียงแค่ชื่อเรียก นิพพานอย่างนั้น นิพพานอย่างนี้
ไม่มีทางกล่าวถึงได้

สิ่งที่โลกนี้มี นิพพานไม่มี สิ่งที่นิพพานมี โลกนี้ไม่มี

กล่าวอ้างไม่ได้ อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
ความศรีวิไลแห่งธรรมะไม่สามารถสื่อมาด้วยภาษา
และกิริยาใดๆได้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์สำคัญตรัสไว้ว่า
มันหมดคำพูดแล้ว จะเป็นปัจจัตตังเฉพาะตนเท่านั้น
ไม่มีใครรู้ได้หรอกแต่เรา(ครูบาฉ่าย)นี้รู้
เรา(ครูบาฉ่าย)ในจิตในใจเรานี้แหละ
เราจะเห็นชัด มันเด่นอยู่ข้างในนี้

#ครูบาฉ่าย ไลฟ์สด20.00น. 12/8/2566 #วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

"สิ้นสงสัย"
ใจที่เข้าถึงความจริงได้ เห็นความจริงตามความเป็นจริง
อยู่ทุกขณะจิต คำว่าสิ้นสงสัย ก็คือเห็นสมมุติอย่างแจ่มแจ้งเท่านั้นเอง เห็นความคิดเป็นของไม่แน่นอน เรียกว่า..สังขารไม่เที่ยง


สังขารในที่นี้ แม้แต่ความคิดหรือว่าร่างกาย
เห็นได้ชัดว่าเป็นของเกิดและดับ
เป็นของอาศัยชั่วคราวเท่านั้น
เป็นของจรมาแล้วก็จรไป จรไปแล้วก็จรมา
ไม่ใช่ของเที่ยงของมั่นคง

เห็นสิ่งที่มันเคลื่อน และเห็นสิ่งที่มันไม่เคลื่อน เพราะอะไร...

สติปัญญาเป็นตัวเห็น เห็นสิ่งที่มันเคลื่อน คือ
อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ความคิด ความเชื่อต่างๆนั้นเปลี่ยนไป อารมณ์เปลี่ยนไป ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย นั้นเรียกว่า
เห็นของไม่เที่ยง เห็นของที่มันเคลื่อน

ยังเห็นอีกสิ่งหนึ่งคือ “ตัวผู้รู้”

สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ ลมหยาบก็รู้ ลมละเอียดก็รู้
ลมนั้นเปลี่ยนไป แต่ผู้รู้นั้นผู้เดิม คิดก็รู้ ไม่คิดก็รู้
ไม่สงบก็รู้ สงบก็รู้ ไอ้ตัวรู้..ไม่เคยเปลี่ยน

จนเห็นตัวรู้นี้อย่างชัด ว่าตัวรู้นี้ไม่เคยเคลื่อน
ไม่เคยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีแต่กิริยา
หรือเรียกว่าอาการของจิตนั้นเปลี่ยน
แต่ของเดิมไม่เปลี่ยนนั้นคือ “จิต”ใจนี้ไม่เปลี่ยน


เข้าถึง2สิ่งนี้ เห็น2สิ่งนี้ เป็นธรรมชาติ

เห็นขันธ์5 เป็นธรรมชาติ เห็นจิต เป็นธรรมชาติ
เพราะมีสติ ประกอบไปด้วยองค์ปัญญา
หรือเรียกว่า ญาณทัศนะ เด่นขึ้นมาจนเห็น2สิ่งนี้ทำงาน
จึงเห็น2สิ่งนี้ว่าเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์ บุคคลใดๆทั้งนั้น
เป็นเพียงสภาวะทำงานร่วมกัน

ส่วนตัวที่ไปเห็นคือองค์ปัญญานี้ ก็ไม่ใช่สัตว์บุุคลใดๆทั้งนั้น
พูดคร่าวๆ..หากบุคคลใดปฏิบัติไปถึงจุดๆนี้ได้
ก็หมดสิ้นคำถาม หมดสิ้นคำตอบ
ไม่ต้องการใครมายอมรับ ไม่ต้องไปถามใคร
ไม่ต้องถามครูบาอาจารย์องค์ไหนหรอกว่า..
ผมเป็นอย่างไร ผมบรรลุหรือไม่บรรลุ
แล้วไม่บรรลุสิ่งใดด้วย...
ไม่รู้สึกว่าตนบรรลุธรรมสิ่งใด
ไม่รู้สึกว่าตนเป็นพระโสดาบัน
ไม่รู้สึกตนว่าเป็นพระสกิทาคามี อนาคามี
พระอรหันต์ แม้แต่พระอรหันต์ก็ไม่ได้เป็น
“ไม่มีความรู้สึกว่าตนนี้เป็นอะไร”
ที่ไปที่มาหาไม่เจอ

เมื่อก่อนรู้หมดว่าตัวเองจะไปเกิดที่ไหน
ตายปุ๊ปจะไปเกิดที่ไหน รู้หมด
แต่พอถึงจุดๆหนึ่ง ไม่รู้เลยว่าตนนั้นจะไปไหน
ตอบไม่ได้เลย มาจากไหนก็ไม่รู้ จะไปไหนก็ไม่รู้
และไม่สงสัยด้วยว่าจะไปหรือจะมา เป็นปกติ

ไม่รู้จะอธิบายคำนี้อย่างไง มันไม่มีคำพูดใดๆมาบรรยาสิ่งนี้ได้ แต่ความรู้นั้นเด่นอยู่ข้างใน จะหาคำพูดใดมาอธิบายสภาวะที่ประสบพบเจอนี้ไม่ได้ นี่แค่พูดเพียงเศษเสี่ยวที่จะพอพูดให้เราเข้าใจได้ แต่ข้างในนี้สิ้นคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น หรือพูดง่ายๆว่า.. ไม่รู้ธรรมใดเลย

หมดซึ่งธรรม แม้แต่บาปแต่บุญก็ไม่รู้ และก็ไม่สงสัยด้วย
เมื่อก่อนนี้รู้หมดบาปบุญ พอถึงจุดหนึ่งไม่รู้เลย

เหมือนไม่มีบาปไม่มีบุญ หรือจะเรียกว่า นิพพาน ก็ไม่มีด้วยซ้ำ
เป็นเพียงแค่ชื่อเรียก นิพพานอย่างนั้น นิพพานอย่างนี้
ไม่มีทางกล่าวถึงได้

สิ่งที่โลกนี้มี นิพพานไม่มี สิ่งที่นิพพานมี โลกนี้ไม่มี

กล่าวอ้างไม่ได้ อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
ความศรีวิไลแห่งธรรมะไม่สามารถสื่อมาด้วยภาษา
และกิริยาใดๆได้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์สำคัญตรัสไว้ว่า
มันหมดคำพูดแล้ว จะเป็นปัจจัตตังเฉพาะตนเท่านั้น
ไม่มีใครรู้ได้หรอกแต่เรา(ครูบาฉ่าย)นี้รู้
เรา(ครูบาฉ่าย)ในจิตในใจเรานี้แหละ
เราจะเห็นชัด มันเด่นอยู่ข้างในนี้

#ครูบาฉ่าย ไลฟ์สด20.00น. 12/8/2566 #วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

"สิ้นสงสัย"
ใจที่เข้าถึงความจริงได้ เห็นความจริงตามความเป็นจริง
อยู่ทุกขณะจิต คำว่าสิ้นสงสัย ก็คือเห็นสมมุติอย่างแจ่มแจ้งเท่านั้นเอง เห็นความคิดเป็นของไม่แน่นอน เรียกว่า..สังขารไม่เที่ยง


สังขารในที่นี้ แม้แต่ความคิดหรือว่าร่างกาย
เห็นได้ชัดว่าเป็นของเกิดและดับ
เป็นของอาศัยชั่วคราวเท่านั้น
เป็นของจรมาแล้วก็จรไป จรไปแล้วก็จรมา
ไม่ใช่ของเที่ยงของมั่นคง

เห็นสิ่งที่มันเคลื่อน และเห็นสิ่งที่มันไม่เคลื่อน เพราะอะไร...

สติปัญญาเป็นตัวเห็น เห็นสิ่งที่มันเคลื่อน คือ
อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ความคิด ความเชื่อต่างๆนั้นเปลี่ยนไป อารมณ์เปลี่ยนไป ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย นั้นเรียกว่า
เห็นของไม่เที่ยง เห็นของที่มันเคลื่อน

ยังเห็นอีกสิ่งหนึ่งคือ “ตัวผู้รู้”

สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ ลมหยาบก็รู้ ลมละเอียดก็รู้
ลมนั้นเปลี่ยนไป แต่ผู้รู้นั้นผู้เดิม คิดก็รู้ ไม่คิดก็รู้
ไม่สงบก็รู้ สงบก็รู้ ไอ้ตัวรู้..ไม่เคยเปลี่ยน

จนเห็นตัวรู้นี้อย่างชัด ว่าตัวรู้นี้ไม่เคยเคลื่อน
ไม่เคยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีแต่กิริยา
หรือเรียกว่าอาการของจิตนั้นเปลี่ยน
แต่ของเดิมไม่เปลี่ยนนั้นคือ “จิต”ใจนี้ไม่เปลี่ยน


เข้าถึง2สิ่งนี้ เห็น2สิ่งนี้ เป็นธรรมชาติ

เห็นขันธ์5 เป็นธรรมชาติ เห็นจิต เป็นธรรมชาติ
เพราะมีสติ ประกอบไปด้วยองค์ปัญญา
หรือเรียกว่า ญาณทัศนะ เด่นขึ้นมาจนเห็น2สิ่งนี้ทำงาน
จึงเห็น2สิ่งนี้ว่าเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์ บุคคลใดๆทั้งนั้น
เป็นเพียงสภาวะทำงานร่วมกัน

ส่วนตัวที่ไปเห็นคือองค์ปัญญานี้ ก็ไม่ใช่สัตว์บุุคลใดๆทั้งนั้น
พูดคร่าวๆ..หากบุคคลใดปฏิบัติไปถึงจุดๆนี้ได้
ก็หมดสิ้นคำถาม หมดสิ้นคำตอบ
ไม่ต้องการใครมายอมรับ ไม่ต้องไปถามใคร
ไม่ต้องถามครูบาอาจารย์องค์ไหนหรอกว่า..
ผมเป็นอย่างไร ผมบรรลุหรือไม่บรรลุ
แล้วไม่บรรลุสิ่งใดด้วย...
ไม่รู้สึกว่าตนบรรลุธรรมสิ่งใด
ไม่รู้สึกว่าตนเป็นพระโสดาบัน
ไม่รู้สึกตนว่าเป็นพระสกิทาคามี อนาคามี
พระอรหันต์ แม้แต่พระอรหันต์ก็ไม่ได้เป็น
“ไม่มีความรู้สึกว่าตนนี้เป็นอะไร”
ที่ไปที่มาหาไม่เจอ

เมื่อก่อนรู้หมดว่าตัวเองจะไปเกิดที่ไหน
ตายปุ๊ปจะไปเกิดที่ไหน รู้หมด
แต่พอถึงจุดๆหนึ่ง ไม่รู้เลยว่าตนนั้นจะไปไหน
ตอบไม่ได้เลย มาจากไหนก็ไม่รู้ จะไปไหนก็ไม่รู้
และไม่สงสัยด้วยว่าจะไปหรือจะมา เป็นปกติ

ไม่รู้จะอธิบายคำนี้อย่างไง มันไม่มีคำพูดใดๆมาบรรยาสิ่งนี้ได้ แต่ความรู้นั้นเด่นอยู่ข้างใน จะหาคำพูดใดมาอธิบายสภาวะที่ประสบพบเจอนี้ไม่ได้ นี่แค่พูดเพียงเศษเสี่ยวที่จะพอพูดให้เราเข้าใจได้ แต่ข้างในนี้สิ้นคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น หรือพูดง่ายๆว่า.. ไม่รู้ธรรมใดเลย

หมดซึ่งธรรม แม้แต่บาปแต่บุญก็ไม่รู้ และก็ไม่สงสัยด้วย
เมื่อก่อนนี้รู้หมดบาปบุญ พอถึงจุดหนึ่งไม่รู้เลย

เหมือนไม่มีบาปไม่มีบุญ หรือจะเรียกว่า นิพพาน ก็ไม่มีด้วยซ้ำ
เป็นเพียงแค่ชื่อเรียก นิพพานอย่างนั้น นิพพานอย่างนี้
ไม่มีทางกล่าวถึงได้

สิ่งที่โลกนี้มี นิพพานไม่มี สิ่งที่นิพพานมี โลกนี้ไม่มี

กล่าวอ้างไม่ได้ อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
ความศรีวิไลแห่งธรรมะไม่สามารถสื่อมาด้วยภาษา
และกิริยาใดๆได้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์สำคัญตรัสไว้ว่า
มันหมดคำพูดแล้ว จะเป็นปัจจัตตังเฉพาะตนเท่านั้น
ไม่มีใครรู้ได้หรอกแต่เรา(ครูบาฉ่าย)นี้รู้
เรา(ครูบาฉ่าย)ในจิตในใจเรานี้แหละ
เราจะเห็นชัด มันเด่นอยู่ข้างในนี้

#ครูบาฉ่าย ไลฟ์สด20.00น. 12/8/2566 #วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

"สิ้นสงสัย"
ใจที่เข้าถึงความจริงได้ เห็นความจริงตามความเป็นจริง
อยู่ทุกขณะจิต คำว่าสิ้นสงสัย ก็คือเห็นสมมุติอย่างแจ่มแจ้งเท่านั้นเอง เห็นความคิดเป็นของไม่แน่นอน เรียกว่า..สังขารไม่เที่ยง


สังขารในที่นี้ แม้แต่ความคิดหรือว่าร่างกาย
เห็นได้ชัดว่าเป็นของเกิดและดับ
เป็นของอาศัยชั่วคราวเท่านั้น
เป็นของจรมาแล้วก็จรไป จรไปแล้วก็จรมา
ไม่ใช่ของเที่ยงของมั่นคง

เห็นสิ่งที่มันเคลื่อน และเห็นสิ่งที่มันไม่เคลื่อน เพราะอะไร...

สติปัญญาเป็นตัวเห็น เห็นสิ่งที่มันเคลื่อน คือ
อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ความคิด ความเชื่อต่างๆนั้นเปลี่ยนไป อารมณ์เปลี่ยนไป ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย นั้นเรียกว่า
เห็นของไม่เที่ยง เห็นของที่มันเคลื่อน

ยังเห็นอีกสิ่งหนึ่งคือ “ตัวผู้รู้”

สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ ลมหยาบก็รู้ ลมละเอียดก็รู้
ลมนั้นเปลี่ยนไป แต่ผู้รู้นั้นผู้เดิม คิดก็รู้ ไม่คิดก็รู้
ไม่สงบก็รู้ สงบก็รู้ ไอ้ตัวรู้..ไม่เคยเปลี่ยน

จนเห็นตัวรู้นี้อย่างชัด ว่าตัวรู้นี้ไม่เคยเคลื่อน
ไม่เคยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีแต่กิริยา
หรือเรียกว่าอาการของจิตนั้นเปลี่ยน
แต่ของเดิมไม่เปลี่ยนนั้นคือ “จิต”ใจนี้ไม่เปลี่ยน


เข้าถึง2สิ่งนี้ เห็น2สิ่งนี้ เป็นธรรมชาติ

เห็นขันธ์5 เป็นธรรมชาติ เห็นจิต เป็นธรรมชาติ
เพราะมีสติ ประกอบไปด้วยองค์ปัญญา
หรือเรียกว่า ญาณทัศนะ เด่นขึ้นมาจนเห็น2สิ่งนี้ทำงาน
จึงเห็น2สิ่งนี้ว่าเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์ บุคคลใดๆทั้งนั้น
เป็นเพียงสภาวะทำงานร่วมกัน

ส่วนตัวที่ไปเห็นคือองค์ปัญญานี้ ก็ไม่ใช่สัตว์บุุคลใดๆทั้งนั้น
พูดคร่าวๆ..หากบุคคลใดปฏิบัติไปถึงจุดๆนี้ได้
ก็หมดสิ้นคำถาม หมดสิ้นคำตอบ
ไม่ต้องการใครมายอมรับ ไม่ต้องไปถามใคร
ไม่ต้องถามครูบาอาจารย์องค์ไหนหรอกว่า..
ผมเป็นอย่างไร ผมบรรลุหรือไม่บรรลุ
แล้วไม่บรรลุสิ่งใดด้วย...
ไม่รู้สึกว่าตนบรรลุธรรมสิ่งใด
ไม่รู้สึกว่าตนเป็นพระโสดาบัน
ไม่รู้สึกตนว่าเป็นพระสกิทาคามี อนาคามี
พระอรหันต์ แม้แต่พระอรหันต์ก็ไม่ได้เป็น
“ไม่มีความรู้สึกว่าตนนี้เป็นอะไร”
ที่ไปที่มาหาไม่เจอ

เมื่อก่อนรู้หมดว่าตัวเองจะไปเกิดที่ไหน
ตายปุ๊ปจะไปเกิดที่ไหน รู้หมด
แต่พอถึงจุดๆหนึ่ง ไม่รู้เลยว่าตนนั้นจะไปไหน
ตอบไม่ได้เลย มาจากไหนก็ไม่รู้ จะไปไหนก็ไม่รู้
และไม่สงสัยด้วยว่าจะไปหรือจะมา เป็นปกติ

ไม่รู้จะอธิบายคำนี้อย่างไง มันไม่มีคำพูดใดๆมาบรรยาสิ่งนี้ได้ แต่ความรู้นั้นเด่นอยู่ข้างใน จะหาคำพูดใดมาอธิบายสภาวะที่ประสบพบเจอนี้ไม่ได้ นี่แค่พูดเพียงเศษเสี่ยวที่จะพอพูดให้เราเข้าใจได้ แต่ข้างในนี้สิ้นคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น หรือพูดง่ายๆว่า.. ไม่รู้ธรรมใดเลย

หมดซึ่งธรรม แม้แต่บาปแต่บุญก็ไม่รู้ และก็ไม่สงสัยด้วย
เมื่อก่อนนี้รู้หมดบาปบุญ พอถึงจุดหนึ่งไม่รู้เลย

เหมือนไม่มีบาปไม่มีบุญ หรือจะเรียกว่า นิพพาน ก็ไม่มีด้วยซ้ำ
เป็นเพียงแค่ชื่อเรียก นิพพานอย่างนั้น นิพพานอย่างนี้
ไม่มีทางกล่าวถึงได้

สิ่งที่โลกนี้มี นิพพานไม่มี สิ่งที่นิพพานมี โลกนี้ไม่มี

กล่าวอ้างไม่ได้ อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
ความศรีวิไลแห่งธรรมะไม่สามารถสื่อมาด้วยภาษา
และกิริยาใดๆได้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์สำคัญตรัสไว้ว่า
มันหมดคำพูดแล้ว จะเป็นปัจจัตตังเฉพาะตนเท่านั้น
ไม่มีใครรู้ได้หรอกแต่เรา(ครูบาฉ่าย)นี้รู้
เรา(ครูบาฉ่าย)ในจิตในใจเรานี้แหละ
เราจะเห็นชัด มันเด่นอยู่ข้างในนี้

#ครูบาฉ่าย ไลฟ์สด20.00น. 12/8/2566 #วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

ครูบาฉ่าย

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ธรรมมะที่ดุดัน ชัดแจ้ง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง

ครูบาฉ่าย

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ธรรมมะที่ดุดัน ชัดแจ้ง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง

ครูบาฉ่าย

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ธรรมมะที่ดุดัน ชัดแจ้ง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง

ครูบาฉ่าย

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

ครูบาฉ่าย คัมภีรปัญโญ แห่งวัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ธรรมมะที่ดุดัน ชัดแจ้ง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง