การปฏิบัติ ไม่ได้ไปมุ่งดับอารมณ์
แม่ชีเจิ้น
บทบรรยาย
แม่ชีเจิ้น
บทบรรยาย
แม่ชีเจิ้น
บทบรรยาย
แม่ชีเจิ้น
บทบรรยาย
การปฏิบัติของเรา ไม่ได้ไปมุ่งดับอารมณ์นะ
ฝึกสติขึ้นมา ให้มันเห็น .. .
.
ถ้ามันแยกออกระหว่างอารมณ์เนี่ย สังเกตดูมั้ย ?
ถ้าเราไม่ได้ฝึก อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ
ที่มันเกิดขึ้น มันเป็นเรา มันก็เลยมีเราทุกข์
เราพอใจ เรารัก เราเกลียด
.
แต่ถ้าเราฝึกสติ ฝึกอยู่ในลม แยกออก
เราจะเห็นอารมณ์ เราจะเห็นมันเกิดขึ้น เกิดจากเหตุ
ถ้ากำลังสติไม่เสถียร ยังไม่ทันมาก
มันก็จะเห็นว่ามันเกิดจากผู้อื่น
เพราะว่าเหตุ มันดูออกไปข้างนอก
.
แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราดู ถ้าเราอยู่กับลม ปุ๊บ
กำลังสติเราหนาแน่น เราจะเห็นเลย
อารมณ์แต่ละอย่าง ความรู้สึกแต่ละอย่าง
เราไปดึงเข้ามาเอง มันปรุงแต่งขึ้นเอง
.
ถ้าสติเรามันไม่ทัน มันไม่เท่าทันอารมณ์
เหมือนเมื่อคืนเนี่ย พูดเรื่องการกระทบ
ตากระทบรูป สวยไม่สวย
ถ้ากำลังสติมีมากนะ จะหยุดแค่นั้น
มันจะไม่ไปถึง พอใจ ไม่พอใจ
.
ปกติเลยเนี่ย มันจะไม่เห็น
พอใจปุ๊บ มันจะเอาเข้ามา
พอเอาเข้ามาแล้ว ยังไม่เท่าทันอาการที่มันปรุง
จะเอามาเป็นเจ้าของ ปรุงแต่งต่อทันที
.
เมื่อใดที่ได้ทำตามอารมณ์
ตัวปัญหาเนี่ย ตัวอยากเนี่ย
อยากได้มาเป็นเจ้าของ
“อุปทาน” ยึดในอาการนั้น
ภพ ชาติ เกิดทันที! ในขณะจิตนั้น.. .
.
แต่จริงๆแล้ว การปฏิบัติคือให้อาศัยเกาะลม
เพื่อไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่ง แค่นั้นเอง..
.
อารมณ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
ความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
“ตั ด กั บ ม า อ ยู่ ใ น ล ม”
.
มันต้องใช้กำลังฝืน เพราะอะไร ?
เพราะ..ความเคยชินเดิมเรามันไหล
.
หนูถึงพูดอยู่ตลอดว่า ทุกข์
สภาพทุกข์คือ มีลักษณะการไหล
ไหลออก ไหลเข้าไปปรุงแต่ง
.
ทำยังไงเราจะกลับมา กลับมาฐาน
ฐานที่ตั้ง วิหารธรรมคือ ที่อยู่
ให้มัน “รู้” อยู่ในลมหายใจ
.
อาศัยลมหายใจนี่แหละ เป็นเกาะ เป็นหลุม
เมื่อใดที่หลุดลม หรือ สติไม่มีกำลังปุ๊บ
มันออกไปผสมโรงกันทันที
เนี่ยคือ ความปรุงแต่ง
.
แค่เราฝึกให้มันเท่าทัน
ไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่งร่วมกับอารมณ์เนี่ย
มันจบลงตรงนี้แหละ .. .
.
เหตุทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ตรงนี้
ถ้ากำลังสติมีมากทีนี้
มันยังไม่ได้ทันเป็นอารมณ์เลย ..
แค่มโนกรรม หรือ ความคิดเกิดขึ้น มันเห็นก่อนละ
มันก็ใช้ลม ใช้กำลังของสตินี่แหละ “ตัด”
ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนนะ การปฎิบัติ ซื่อๆตรงๆ
.
ทำยังไงเราจะเห็นความซื่อตรง
อารมณ์ความบีบคั้นเกิดขึ้น
รู้ลงไปเลย รู้ตรงๆนี่แหละ
.
แต่ส่วนใหญ่พอความทุกข์เกิดขึ้น ปุ๊บ
เราจะไปแก้ .. .
.
เมื่อใดที่ความทุกข์ หรือ
อาการต่างๆที่มันเกิดขึ้น
พอเราเข้าไปแก้
เราไปแก้ตัวอาการตรงๆไม่ได้
.
สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ กลับมา
กลับมาอยู่ใน“ลม” อยู่ในฐาน
.
แต่ส่วนใหญ่.. .
เวลามีความบีบคั้นเกิดขึ้นหน่อยนึง
เราก็อยากหาย ด้วยอาการที่อยากหาย
มันเลยเข้าไปพยายามแก้
.
ถ้ามันตัดกับลมไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะสู้กับความไม่ดี หรือ
อกุศลในใจ หรือ อกุศลในจิต
.
คือ ค ว า ม ดี
คือกุศลมันจะหล่อเลี้ยงกันนะ
.
เราไปแก้ตรงๆที่ตัวอาการไม่ได้
“ต้องสร้างเหตุ”
.
ทาน ศีล ภาวนา
ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เต็มรอบ
มันจะเป็นอันเดียวทีนี้ เป็นสิ่งๆเดียวกัน
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #แม่ชีเจิ้น ค่ำวันที่ 02 ก.ค. 66)
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์
การปฏิบัติของเรา ไม่ได้ไปมุ่งดับอารมณ์นะ
ฝึกสติขึ้นมา ให้มันเห็น .. .
.
ถ้ามันแยกออกระหว่างอารมณ์เนี่ย สังเกตดูมั้ย ?
ถ้าเราไม่ได้ฝึก อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ
ที่มันเกิดขึ้น มันเป็นเรา มันก็เลยมีเราทุกข์
เราพอใจ เรารัก เราเกลียด
.
แต่ถ้าเราฝึกสติ ฝึกอยู่ในลม แยกออก
เราจะเห็นอารมณ์ เราจะเห็นมันเกิดขึ้น เกิดจากเหตุ
ถ้ากำลังสติไม่เสถียร ยังไม่ทันมาก
มันก็จะเห็นว่ามันเกิดจากผู้อื่น
เพราะว่าเหตุ มันดูออกไปข้างนอก
.
แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราดู ถ้าเราอยู่กับลม ปุ๊บ
กำลังสติเราหนาแน่น เราจะเห็นเลย
อารมณ์แต่ละอย่าง ความรู้สึกแต่ละอย่าง
เราไปดึงเข้ามาเอง มันปรุงแต่งขึ้นเอง
.
ถ้าสติเรามันไม่ทัน มันไม่เท่าทันอารมณ์
เหมือนเมื่อคืนเนี่ย พูดเรื่องการกระทบ
ตากระทบรูป สวยไม่สวย
ถ้ากำลังสติมีมากนะ จะหยุดแค่นั้น
มันจะไม่ไปถึง พอใจ ไม่พอใจ
.
ปกติเลยเนี่ย มันจะไม่เห็น
พอใจปุ๊บ มันจะเอาเข้ามา
พอเอาเข้ามาแล้ว ยังไม่เท่าทันอาการที่มันปรุง
จะเอามาเป็นเจ้าของ ปรุงแต่งต่อทันที
.
เมื่อใดที่ได้ทำตามอารมณ์
ตัวปัญหาเนี่ย ตัวอยากเนี่ย
อยากได้มาเป็นเจ้าของ
“อุปทาน” ยึดในอาการนั้น
ภพ ชาติ เกิดทันที! ในขณะจิตนั้น.. .
.
แต่จริงๆแล้ว การปฏิบัติคือให้อาศัยเกาะลม
เพื่อไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่ง แค่นั้นเอง..
.
อารมณ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
ความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
“ตั ด กั บ ม า อ ยู่ ใ น ล ม”
.
มันต้องใช้กำลังฝืน เพราะอะไร ?
เพราะ..ความเคยชินเดิมเรามันไหล
.
หนูถึงพูดอยู่ตลอดว่า ทุกข์
สภาพทุกข์คือ มีลักษณะการไหล
ไหลออก ไหลเข้าไปปรุงแต่ง
.
ทำยังไงเราจะกลับมา กลับมาฐาน
ฐานที่ตั้ง วิหารธรรมคือ ที่อยู่
ให้มัน “รู้” อยู่ในลมหายใจ
.
อาศัยลมหายใจนี่แหละ เป็นเกาะ เป็นหลุม
เมื่อใดที่หลุดลม หรือ สติไม่มีกำลังปุ๊บ
มันออกไปผสมโรงกันทันที
เนี่ยคือ ความปรุงแต่ง
.
แค่เราฝึกให้มันเท่าทัน
ไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่งร่วมกับอารมณ์เนี่ย
มันจบลงตรงนี้แหละ .. .
.
เหตุทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ตรงนี้
ถ้ากำลังสติมีมากทีนี้
มันยังไม่ได้ทันเป็นอารมณ์เลย ..
แค่มโนกรรม หรือ ความคิดเกิดขึ้น มันเห็นก่อนละ
มันก็ใช้ลม ใช้กำลังของสตินี่แหละ “ตัด”
ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนนะ การปฎิบัติ ซื่อๆตรงๆ
.
ทำยังไงเราจะเห็นความซื่อตรง
อารมณ์ความบีบคั้นเกิดขึ้น
รู้ลงไปเลย รู้ตรงๆนี่แหละ
.
แต่ส่วนใหญ่พอความทุกข์เกิดขึ้น ปุ๊บ
เราจะไปแก้ .. .
.
เมื่อใดที่ความทุกข์ หรือ
อาการต่างๆที่มันเกิดขึ้น
พอเราเข้าไปแก้
เราไปแก้ตัวอาการตรงๆไม่ได้
.
สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ กลับมา
กลับมาอยู่ใน“ลม” อยู่ในฐาน
.
แต่ส่วนใหญ่.. .
เวลามีความบีบคั้นเกิดขึ้นหน่อยนึง
เราก็อยากหาย ด้วยอาการที่อยากหาย
มันเลยเข้าไปพยายามแก้
.
ถ้ามันตัดกับลมไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะสู้กับความไม่ดี หรือ
อกุศลในใจ หรือ อกุศลในจิต
.
คือ ค ว า ม ดี
คือกุศลมันจะหล่อเลี้ยงกันนะ
.
เราไปแก้ตรงๆที่ตัวอาการไม่ได้
“ต้องสร้างเหตุ”
.
ทาน ศีล ภาวนา
ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เต็มรอบ
มันจะเป็นอันเดียวทีนี้ เป็นสิ่งๆเดียวกัน
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #แม่ชีเจิ้น ค่ำวันที่ 02 ก.ค. 66)
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์
การปฏิบัติของเรา ไม่ได้ไปมุ่งดับอารมณ์นะ
ฝึกสติขึ้นมา ให้มันเห็น .. .
.
ถ้ามันแยกออกระหว่างอารมณ์เนี่ย สังเกตดูมั้ย ?
ถ้าเราไม่ได้ฝึก อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ
ที่มันเกิดขึ้น มันเป็นเรา มันก็เลยมีเราทุกข์
เราพอใจ เรารัก เราเกลียด
.
แต่ถ้าเราฝึกสติ ฝึกอยู่ในลม แยกออก
เราจะเห็นอารมณ์ เราจะเห็นมันเกิดขึ้น เกิดจากเหตุ
ถ้ากำลังสติไม่เสถียร ยังไม่ทันมาก
มันก็จะเห็นว่ามันเกิดจากผู้อื่น
เพราะว่าเหตุ มันดูออกไปข้างนอก
.
แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราดู ถ้าเราอยู่กับลม ปุ๊บ
กำลังสติเราหนาแน่น เราจะเห็นเลย
อารมณ์แต่ละอย่าง ความรู้สึกแต่ละอย่าง
เราไปดึงเข้ามาเอง มันปรุงแต่งขึ้นเอง
.
ถ้าสติเรามันไม่ทัน มันไม่เท่าทันอารมณ์
เหมือนเมื่อคืนเนี่ย พูดเรื่องการกระทบ
ตากระทบรูป สวยไม่สวย
ถ้ากำลังสติมีมากนะ จะหยุดแค่นั้น
มันจะไม่ไปถึง พอใจ ไม่พอใจ
.
ปกติเลยเนี่ย มันจะไม่เห็น
พอใจปุ๊บ มันจะเอาเข้ามา
พอเอาเข้ามาแล้ว ยังไม่เท่าทันอาการที่มันปรุง
จะเอามาเป็นเจ้าของ ปรุงแต่งต่อทันที
.
เมื่อใดที่ได้ทำตามอารมณ์
ตัวปัญหาเนี่ย ตัวอยากเนี่ย
อยากได้มาเป็นเจ้าของ
“อุปทาน” ยึดในอาการนั้น
ภพ ชาติ เกิดทันที! ในขณะจิตนั้น.. .
.
แต่จริงๆแล้ว การปฏิบัติคือให้อาศัยเกาะลม
เพื่อไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่ง แค่นั้นเอง..
.
อารมณ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
ความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
“ตั ด กั บ ม า อ ยู่ ใ น ล ม”
.
มันต้องใช้กำลังฝืน เพราะอะไร ?
เพราะ..ความเคยชินเดิมเรามันไหล
.
หนูถึงพูดอยู่ตลอดว่า ทุกข์
สภาพทุกข์คือ มีลักษณะการไหล
ไหลออก ไหลเข้าไปปรุงแต่ง
.
ทำยังไงเราจะกลับมา กลับมาฐาน
ฐานที่ตั้ง วิหารธรรมคือ ที่อยู่
ให้มัน “รู้” อยู่ในลมหายใจ
.
อาศัยลมหายใจนี่แหละ เป็นเกาะ เป็นหลุม
เมื่อใดที่หลุดลม หรือ สติไม่มีกำลังปุ๊บ
มันออกไปผสมโรงกันทันที
เนี่ยคือ ความปรุงแต่ง
.
แค่เราฝึกให้มันเท่าทัน
ไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่งร่วมกับอารมณ์เนี่ย
มันจบลงตรงนี้แหละ .. .
.
เหตุทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ตรงนี้
ถ้ากำลังสติมีมากทีนี้
มันยังไม่ได้ทันเป็นอารมณ์เลย ..
แค่มโนกรรม หรือ ความคิดเกิดขึ้น มันเห็นก่อนละ
มันก็ใช้ลม ใช้กำลังของสตินี่แหละ “ตัด”
ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนนะ การปฎิบัติ ซื่อๆตรงๆ
.
ทำยังไงเราจะเห็นความซื่อตรง
อารมณ์ความบีบคั้นเกิดขึ้น
รู้ลงไปเลย รู้ตรงๆนี่แหละ
.
แต่ส่วนใหญ่พอความทุกข์เกิดขึ้น ปุ๊บ
เราจะไปแก้ .. .
.
เมื่อใดที่ความทุกข์ หรือ
อาการต่างๆที่มันเกิดขึ้น
พอเราเข้าไปแก้
เราไปแก้ตัวอาการตรงๆไม่ได้
.
สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ กลับมา
กลับมาอยู่ใน“ลม” อยู่ในฐาน
.
แต่ส่วนใหญ่.. .
เวลามีความบีบคั้นเกิดขึ้นหน่อยนึง
เราก็อยากหาย ด้วยอาการที่อยากหาย
มันเลยเข้าไปพยายามแก้
.
ถ้ามันตัดกับลมไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะสู้กับความไม่ดี หรือ
อกุศลในใจ หรือ อกุศลในจิต
.
คือ ค ว า ม ดี
คือกุศลมันจะหล่อเลี้ยงกันนะ
.
เราไปแก้ตรงๆที่ตัวอาการไม่ได้
“ต้องสร้างเหตุ”
.
ทาน ศีล ภาวนา
ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เต็มรอบ
มันจะเป็นอันเดียวทีนี้ เป็นสิ่งๆเดียวกัน
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #แม่ชีเจิ้น ค่ำวันที่ 02 ก.ค. 66)
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์
การปฏิบัติของเรา ไม่ได้ไปมุ่งดับอารมณ์นะ
ฝึกสติขึ้นมา ให้มันเห็น .. .
.
ถ้ามันแยกออกระหว่างอารมณ์เนี่ย สังเกตดูมั้ย ?
ถ้าเราไม่ได้ฝึก อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ
ที่มันเกิดขึ้น มันเป็นเรา มันก็เลยมีเราทุกข์
เราพอใจ เรารัก เราเกลียด
.
แต่ถ้าเราฝึกสติ ฝึกอยู่ในลม แยกออก
เราจะเห็นอารมณ์ เราจะเห็นมันเกิดขึ้น เกิดจากเหตุ
ถ้ากำลังสติไม่เสถียร ยังไม่ทันมาก
มันก็จะเห็นว่ามันเกิดจากผู้อื่น
เพราะว่าเหตุ มันดูออกไปข้างนอก
.
แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราดู ถ้าเราอยู่กับลม ปุ๊บ
กำลังสติเราหนาแน่น เราจะเห็นเลย
อารมณ์แต่ละอย่าง ความรู้สึกแต่ละอย่าง
เราไปดึงเข้ามาเอง มันปรุงแต่งขึ้นเอง
.
ถ้าสติเรามันไม่ทัน มันไม่เท่าทันอารมณ์
เหมือนเมื่อคืนเนี่ย พูดเรื่องการกระทบ
ตากระทบรูป สวยไม่สวย
ถ้ากำลังสติมีมากนะ จะหยุดแค่นั้น
มันจะไม่ไปถึง พอใจ ไม่พอใจ
.
ปกติเลยเนี่ย มันจะไม่เห็น
พอใจปุ๊บ มันจะเอาเข้ามา
พอเอาเข้ามาแล้ว ยังไม่เท่าทันอาการที่มันปรุง
จะเอามาเป็นเจ้าของ ปรุงแต่งต่อทันที
.
เมื่อใดที่ได้ทำตามอารมณ์
ตัวปัญหาเนี่ย ตัวอยากเนี่ย
อยากได้มาเป็นเจ้าของ
“อุปทาน” ยึดในอาการนั้น
ภพ ชาติ เกิดทันที! ในขณะจิตนั้น.. .
.
แต่จริงๆแล้ว การปฏิบัติคือให้อาศัยเกาะลม
เพื่อไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่ง แค่นั้นเอง..
.
อารมณ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
ความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
“ตั ด กั บ ม า อ ยู่ ใ น ล ม”
.
มันต้องใช้กำลังฝืน เพราะอะไร ?
เพราะ..ความเคยชินเดิมเรามันไหล
.
หนูถึงพูดอยู่ตลอดว่า ทุกข์
สภาพทุกข์คือ มีลักษณะการไหล
ไหลออก ไหลเข้าไปปรุงแต่ง
.
ทำยังไงเราจะกลับมา กลับมาฐาน
ฐานที่ตั้ง วิหารธรรมคือ ที่อยู่
ให้มัน “รู้” อยู่ในลมหายใจ
.
อาศัยลมหายใจนี่แหละ เป็นเกาะ เป็นหลุม
เมื่อใดที่หลุดลม หรือ สติไม่มีกำลังปุ๊บ
มันออกไปผสมโรงกันทันที
เนี่ยคือ ความปรุงแต่ง
.
แค่เราฝึกให้มันเท่าทัน
ไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่งร่วมกับอารมณ์เนี่ย
มันจบลงตรงนี้แหละ .. .
.
เหตุทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ตรงนี้
ถ้ากำลังสติมีมากทีนี้
มันยังไม่ได้ทันเป็นอารมณ์เลย ..
แค่มโนกรรม หรือ ความคิดเกิดขึ้น มันเห็นก่อนละ
มันก็ใช้ลม ใช้กำลังของสตินี่แหละ “ตัด”
ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนนะ การปฎิบัติ ซื่อๆตรงๆ
.
ทำยังไงเราจะเห็นความซื่อตรง
อารมณ์ความบีบคั้นเกิดขึ้น
รู้ลงไปเลย รู้ตรงๆนี่แหละ
.
แต่ส่วนใหญ่พอความทุกข์เกิดขึ้น ปุ๊บ
เราจะไปแก้ .. .
.
เมื่อใดที่ความทุกข์ หรือ
อาการต่างๆที่มันเกิดขึ้น
พอเราเข้าไปแก้
เราไปแก้ตัวอาการตรงๆไม่ได้
.
สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ กลับมา
กลับมาอยู่ใน“ลม” อยู่ในฐาน
.
แต่ส่วนใหญ่.. .
เวลามีความบีบคั้นเกิดขึ้นหน่อยนึง
เราก็อยากหาย ด้วยอาการที่อยากหาย
มันเลยเข้าไปพยายามแก้
.
ถ้ามันตัดกับลมไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะสู้กับความไม่ดี หรือ
อกุศลในใจ หรือ อกุศลในจิต
.
คือ ค ว า ม ดี
คือกุศลมันจะหล่อเลี้ยงกันนะ
.
เราไปแก้ตรงๆที่ตัวอาการไม่ได้
“ต้องสร้างเหตุ”
.
ทาน ศีล ภาวนา
ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เต็มรอบ
มันจะเป็นอันเดียวทีนี้ เป็นสิ่งๆเดียวกัน
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #แม่ชีเจิ้น ค่ำวันที่ 02 ก.ค. 66)
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์
แม่ชีเจิ้น
วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์
แม่ชีเจิ้น แม่ชีที่มีประสบการณ์การภาวนามาอย่างโชกโชน ด้วยคำสอนที่เรียบง่าย แต่แทงลึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
แม่ชีเจิ้น
วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์
แม่ชีเจิ้น แม่ชีที่มีประสบการณ์การภาวนามาอย่างโชกโชน ด้วยคำสอนที่เรียบง่าย แต่แทงลึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
แม่ชีเจิ้น
วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์
แม่ชีเจิ้น แม่ชีที่มีประสบการณ์การภาวนามาอย่างโชกโชน ด้วยคำสอนที่เรียบง่าย แต่แทงลึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
แม่ชีเจิ้น
วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์
แม่ชีเจิ้น แม่ชีที่มีประสบการณ์การภาวนามาอย่างโชกโชน ด้วยคำสอนที่เรียบง่าย แต่แทงลึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
ธรรมมะจากผู้บรรยายเดียวกัน
แม่ชีเจิ้น
ที่สุดของศีลคือ?
บทบรรยาย
แม่ชีเจิ้น
ที่สุดของศีลคือ?
บทบรรยาย
แม่ชีเจิ้น
ที่สุดของศีลคือ?
บทบรรยาย
แม่ชีเจิ้น
นั่นแหละ ก ร ร ม
ข้อธรรมคําสอน
แม่ชีเจิ้น
นั่นแหละ ก ร ร ม
ข้อธรรมคําสอน
แม่ชีเจิ้น
นั่นแหละ ก ร ร ม
ข้อธรรมคําสอน
แม่ชีเจิ้น
เวลา..ไม่อาจรักษาทุกสิ่ง
ข้อธรรมคําสอน
แม่ชีเจิ้น
เวลา..ไม่อาจรักษาทุกสิ่ง
ข้อธรรมคําสอน
แม่ชีเจิ้น
เวลา..ไม่อาจรักษาทุกสิ่ง
ข้อธรรมคําสอน
© 2024 DhammaSinkid.com
© 2024 DhammaSinkid.com
© 2024 DhammaSinkid.com
© 2024 DhammaSinkid.com