การปฏิบัติ ไม่ได้ไปมุ่งดับอารมณ์

แม่ชีเจิ้น

บทบรรยาย

แม่ชีเจิ้น

บทบรรยาย

แม่ชีเจิ้น

บทบรรยาย

แม่ชีเจิ้น

บทบรรยาย


การปฏิบัติของเรา ไม่ได้ไปมุ่งดับอารมณ์นะ
ฝึกสติขึ้นมา ให้มันเห็น .. .

.
ถ้ามันแยกออกระหว่างอารมณ์เนี่ย สังเกตดูมั้ย ?
ถ้าเราไม่ได้ฝึก อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ
ที่มันเกิดขึ้น มันเป็นเรา มันก็เลยมีเราทุกข์
เราพอใจ เรารัก เราเกลียด
.
แต่ถ้าเราฝึกสติ ฝึกอยู่ในลม แยกออก
เราจะเห็นอารมณ์ เราจะเห็นมันเกิดขึ้น เกิดจากเหตุ

ถ้ากำลังสติไม่เสถียร ยังไม่ทันมาก
มันก็จะเห็นว่ามันเกิดจากผู้อื่น
เพราะว่าเหตุ มันดูออกไปข้างนอก
.
แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราดู ถ้าเราอยู่กับลม ปุ๊บ
กำลังสติเราหนาแน่น เราจะเห็นเลย
อารมณ์แต่ละอย่าง ความรู้สึกแต่ละอย่าง
เราไปดึงเข้ามาเอง มันปรุงแต่งขึ้นเอง

.
ถ้าสติเรามันไม่ทัน มันไม่เท่าทันอารมณ์
เหมือนเมื่อคืนเนี่ย พูดเรื่องการกระทบ
ตากระทบรูป สวยไม่สวย
ถ้ากำลังสติมีมากนะ จะหยุดแค่นั้น
มันจะไม่ไปถึง พอใจ ไม่พอใจ
.
ปกติเลยเนี่ย มันจะไม่เห็น
พอใจปุ๊บ มันจะเอาเข้ามา
พอเอาเข้ามาแล้ว ยังไม่เท่าทันอาการที่มันปรุง
จะเอามาเป็นเจ้าของ ปรุงแต่งต่อทันที

.
เมื่อใดที่ได้ทำตามอารมณ์
ตัวปัญหาเนี่ย ตัวอยากเนี่ย
อยากได้มาเป็นเจ้าของ
“อุปทาน” ยึดในอาการนั้น
ภพ ชาติ เกิดทันที! ในขณะจิตนั้น.. .
.
แต่จริงๆแล้ว การปฏิบัติคือให้อาศัยเกาะลม
เพื่อไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่ง แค่นั้นเอง..

.
อารมณ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
ความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
“ตั ด กั บ ม า อ ยู่ ใ น ล ม”
.
มันต้องใช้กำลังฝืน เพราะอะไร ?
เพราะ..ความเคยชินเดิมเรามันไหล
.
หนูถึงพูดอยู่ตลอดว่า ทุกข์
สภาพทุกข์คือ มีลักษณะการไหล
ไหลออก ไหลเข้าไปปรุงแต่ง

.
ทำยังไงเราจะกลับมา กลับมาฐาน
ฐานที่ตั้ง วิหารธรรมคือ ที่อยู่
ให้มัน “รู้” อยู่ในลมหายใจ
.
อาศัยลมหายใจนี่แหละ เป็นเกาะ เป็นหลุม
เมื่อใดที่หลุดลม หรือ สติไม่มีกำลังปุ๊บ
มันออกไปผสมโรงกันทันที
เนี่ยคือ ความปรุงแต่ง
.
แค่เราฝึกให้มันเท่าทัน
ไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่งร่วมกับอารมณ์เนี่ย
มันจบลงตรงนี้แหละ .. .

.
เหตุทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ตรงนี้
ถ้ากำลังสติมีมากทีนี้
มันยังไม่ได้ทันเป็นอารมณ์เลย ..
แค่มโนกรรม หรือ ความคิดเกิดขึ้น มันเห็นก่อนละ
มันก็ใช้ลม ใช้กำลังของสตินี่แหละ “ตัด”
ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนนะ การปฎิบัติ ซื่อๆตรงๆ
.
ทำยังไงเราจะเห็นความซื่อตรง
อารมณ์ความบีบคั้นเกิดขึ้น
รู้ลงไปเลย รู้ตรงๆนี่แหละ
.
แต่ส่วนใหญ่พอความทุกข์เกิดขึ้น ปุ๊บ
เราจะไปแก้ .. .

.
เมื่อใดที่ความทุกข์ หรือ
อาการต่างๆที่มันเกิดขึ้น
พอเราเข้าไปแก้
เราไปแก้ตัวอาการตรงๆไม่ได้
.
สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ กลับมา
กลับมาอยู่ใน“ลม” อยู่ในฐาน
.
แต่ส่วนใหญ่.. .
เวลามีความบีบคั้นเกิดขึ้นหน่อยนึง
เราก็อยากหาย ด้วยอาการที่อยากหาย
มันเลยเข้าไปพยายามแก้
.
ถ้ามันตัดกับลมไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะสู้กับความไม่ดี หรือ
อกุศลในใจ หรือ อกุศลในจิต

.
คือ ค ว า ม ดี
คือกุศลมันจะหล่อเลี้ยงกันนะ
.
เราไปแก้ตรงๆที่ตัวอาการไม่ได้
“ต้องสร้างเหตุ”
.
ทาน ศีล ภาวนา
ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เต็มรอบ
มันจะเป็นอันเดียวทีนี้ เป็นสิ่งๆเดียวกัน
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #แม่ชีเจิ้น ค่ำวันที่ 02 ก.ค. 66)
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์


การปฏิบัติของเรา ไม่ได้ไปมุ่งดับอารมณ์นะ
ฝึกสติขึ้นมา ให้มันเห็น .. .

.
ถ้ามันแยกออกระหว่างอารมณ์เนี่ย สังเกตดูมั้ย ?
ถ้าเราไม่ได้ฝึก อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ
ที่มันเกิดขึ้น มันเป็นเรา มันก็เลยมีเราทุกข์
เราพอใจ เรารัก เราเกลียด
.
แต่ถ้าเราฝึกสติ ฝึกอยู่ในลม แยกออก
เราจะเห็นอารมณ์ เราจะเห็นมันเกิดขึ้น เกิดจากเหตุ

ถ้ากำลังสติไม่เสถียร ยังไม่ทันมาก
มันก็จะเห็นว่ามันเกิดจากผู้อื่น
เพราะว่าเหตุ มันดูออกไปข้างนอก
.
แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราดู ถ้าเราอยู่กับลม ปุ๊บ
กำลังสติเราหนาแน่น เราจะเห็นเลย
อารมณ์แต่ละอย่าง ความรู้สึกแต่ละอย่าง
เราไปดึงเข้ามาเอง มันปรุงแต่งขึ้นเอง

.
ถ้าสติเรามันไม่ทัน มันไม่เท่าทันอารมณ์
เหมือนเมื่อคืนเนี่ย พูดเรื่องการกระทบ
ตากระทบรูป สวยไม่สวย
ถ้ากำลังสติมีมากนะ จะหยุดแค่นั้น
มันจะไม่ไปถึง พอใจ ไม่พอใจ
.
ปกติเลยเนี่ย มันจะไม่เห็น
พอใจปุ๊บ มันจะเอาเข้ามา
พอเอาเข้ามาแล้ว ยังไม่เท่าทันอาการที่มันปรุง
จะเอามาเป็นเจ้าของ ปรุงแต่งต่อทันที

.
เมื่อใดที่ได้ทำตามอารมณ์
ตัวปัญหาเนี่ย ตัวอยากเนี่ย
อยากได้มาเป็นเจ้าของ
“อุปทาน” ยึดในอาการนั้น
ภพ ชาติ เกิดทันที! ในขณะจิตนั้น.. .
.
แต่จริงๆแล้ว การปฏิบัติคือให้อาศัยเกาะลม
เพื่อไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่ง แค่นั้นเอง..

.
อารมณ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
ความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
“ตั ด กั บ ม า อ ยู่ ใ น ล ม”
.
มันต้องใช้กำลังฝืน เพราะอะไร ?
เพราะ..ความเคยชินเดิมเรามันไหล
.
หนูถึงพูดอยู่ตลอดว่า ทุกข์
สภาพทุกข์คือ มีลักษณะการไหล
ไหลออก ไหลเข้าไปปรุงแต่ง

.
ทำยังไงเราจะกลับมา กลับมาฐาน
ฐานที่ตั้ง วิหารธรรมคือ ที่อยู่
ให้มัน “รู้” อยู่ในลมหายใจ
.
อาศัยลมหายใจนี่แหละ เป็นเกาะ เป็นหลุม
เมื่อใดที่หลุดลม หรือ สติไม่มีกำลังปุ๊บ
มันออกไปผสมโรงกันทันที
เนี่ยคือ ความปรุงแต่ง
.
แค่เราฝึกให้มันเท่าทัน
ไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่งร่วมกับอารมณ์เนี่ย
มันจบลงตรงนี้แหละ .. .

.
เหตุทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ตรงนี้
ถ้ากำลังสติมีมากทีนี้
มันยังไม่ได้ทันเป็นอารมณ์เลย ..
แค่มโนกรรม หรือ ความคิดเกิดขึ้น มันเห็นก่อนละ
มันก็ใช้ลม ใช้กำลังของสตินี่แหละ “ตัด”
ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนนะ การปฎิบัติ ซื่อๆตรงๆ
.
ทำยังไงเราจะเห็นความซื่อตรง
อารมณ์ความบีบคั้นเกิดขึ้น
รู้ลงไปเลย รู้ตรงๆนี่แหละ
.
แต่ส่วนใหญ่พอความทุกข์เกิดขึ้น ปุ๊บ
เราจะไปแก้ .. .

.
เมื่อใดที่ความทุกข์ หรือ
อาการต่างๆที่มันเกิดขึ้น
พอเราเข้าไปแก้
เราไปแก้ตัวอาการตรงๆไม่ได้
.
สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ กลับมา
กลับมาอยู่ใน“ลม” อยู่ในฐาน
.
แต่ส่วนใหญ่.. .
เวลามีความบีบคั้นเกิดขึ้นหน่อยนึง
เราก็อยากหาย ด้วยอาการที่อยากหาย
มันเลยเข้าไปพยายามแก้
.
ถ้ามันตัดกับลมไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะสู้กับความไม่ดี หรือ
อกุศลในใจ หรือ อกุศลในจิต

.
คือ ค ว า ม ดี
คือกุศลมันจะหล่อเลี้ยงกันนะ
.
เราไปแก้ตรงๆที่ตัวอาการไม่ได้
“ต้องสร้างเหตุ”
.
ทาน ศีล ภาวนา
ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เต็มรอบ
มันจะเป็นอันเดียวทีนี้ เป็นสิ่งๆเดียวกัน
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #แม่ชีเจิ้น ค่ำวันที่ 02 ก.ค. 66)
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์


การปฏิบัติของเรา ไม่ได้ไปมุ่งดับอารมณ์นะ
ฝึกสติขึ้นมา ให้มันเห็น .. .

.
ถ้ามันแยกออกระหว่างอารมณ์เนี่ย สังเกตดูมั้ย ?
ถ้าเราไม่ได้ฝึก อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ
ที่มันเกิดขึ้น มันเป็นเรา มันก็เลยมีเราทุกข์
เราพอใจ เรารัก เราเกลียด
.
แต่ถ้าเราฝึกสติ ฝึกอยู่ในลม แยกออก
เราจะเห็นอารมณ์ เราจะเห็นมันเกิดขึ้น เกิดจากเหตุ

ถ้ากำลังสติไม่เสถียร ยังไม่ทันมาก
มันก็จะเห็นว่ามันเกิดจากผู้อื่น
เพราะว่าเหตุ มันดูออกไปข้างนอก
.
แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราดู ถ้าเราอยู่กับลม ปุ๊บ
กำลังสติเราหนาแน่น เราจะเห็นเลย
อารมณ์แต่ละอย่าง ความรู้สึกแต่ละอย่าง
เราไปดึงเข้ามาเอง มันปรุงแต่งขึ้นเอง

.
ถ้าสติเรามันไม่ทัน มันไม่เท่าทันอารมณ์
เหมือนเมื่อคืนเนี่ย พูดเรื่องการกระทบ
ตากระทบรูป สวยไม่สวย
ถ้ากำลังสติมีมากนะ จะหยุดแค่นั้น
มันจะไม่ไปถึง พอใจ ไม่พอใจ
.
ปกติเลยเนี่ย มันจะไม่เห็น
พอใจปุ๊บ มันจะเอาเข้ามา
พอเอาเข้ามาแล้ว ยังไม่เท่าทันอาการที่มันปรุง
จะเอามาเป็นเจ้าของ ปรุงแต่งต่อทันที

.
เมื่อใดที่ได้ทำตามอารมณ์
ตัวปัญหาเนี่ย ตัวอยากเนี่ย
อยากได้มาเป็นเจ้าของ
“อุปทาน” ยึดในอาการนั้น
ภพ ชาติ เกิดทันที! ในขณะจิตนั้น.. .
.
แต่จริงๆแล้ว การปฏิบัติคือให้อาศัยเกาะลม
เพื่อไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่ง แค่นั้นเอง..

.
อารมณ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
ความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
“ตั ด กั บ ม า อ ยู่ ใ น ล ม”
.
มันต้องใช้กำลังฝืน เพราะอะไร ?
เพราะ..ความเคยชินเดิมเรามันไหล
.
หนูถึงพูดอยู่ตลอดว่า ทุกข์
สภาพทุกข์คือ มีลักษณะการไหล
ไหลออก ไหลเข้าไปปรุงแต่ง

.
ทำยังไงเราจะกลับมา กลับมาฐาน
ฐานที่ตั้ง วิหารธรรมคือ ที่อยู่
ให้มัน “รู้” อยู่ในลมหายใจ
.
อาศัยลมหายใจนี่แหละ เป็นเกาะ เป็นหลุม
เมื่อใดที่หลุดลม หรือ สติไม่มีกำลังปุ๊บ
มันออกไปผสมโรงกันทันที
เนี่ยคือ ความปรุงแต่ง
.
แค่เราฝึกให้มันเท่าทัน
ไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่งร่วมกับอารมณ์เนี่ย
มันจบลงตรงนี้แหละ .. .

.
เหตุทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ตรงนี้
ถ้ากำลังสติมีมากทีนี้
มันยังไม่ได้ทันเป็นอารมณ์เลย ..
แค่มโนกรรม หรือ ความคิดเกิดขึ้น มันเห็นก่อนละ
มันก็ใช้ลม ใช้กำลังของสตินี่แหละ “ตัด”
ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนนะ การปฎิบัติ ซื่อๆตรงๆ
.
ทำยังไงเราจะเห็นความซื่อตรง
อารมณ์ความบีบคั้นเกิดขึ้น
รู้ลงไปเลย รู้ตรงๆนี่แหละ
.
แต่ส่วนใหญ่พอความทุกข์เกิดขึ้น ปุ๊บ
เราจะไปแก้ .. .

.
เมื่อใดที่ความทุกข์ หรือ
อาการต่างๆที่มันเกิดขึ้น
พอเราเข้าไปแก้
เราไปแก้ตัวอาการตรงๆไม่ได้
.
สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ กลับมา
กลับมาอยู่ใน“ลม” อยู่ในฐาน
.
แต่ส่วนใหญ่.. .
เวลามีความบีบคั้นเกิดขึ้นหน่อยนึง
เราก็อยากหาย ด้วยอาการที่อยากหาย
มันเลยเข้าไปพยายามแก้
.
ถ้ามันตัดกับลมไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะสู้กับความไม่ดี หรือ
อกุศลในใจ หรือ อกุศลในจิต

.
คือ ค ว า ม ดี
คือกุศลมันจะหล่อเลี้ยงกันนะ
.
เราไปแก้ตรงๆที่ตัวอาการไม่ได้
“ต้องสร้างเหตุ”
.
ทาน ศีล ภาวนา
ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เต็มรอบ
มันจะเป็นอันเดียวทีนี้ เป็นสิ่งๆเดียวกัน
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #แม่ชีเจิ้น ค่ำวันที่ 02 ก.ค. 66)
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์


การปฏิบัติของเรา ไม่ได้ไปมุ่งดับอารมณ์นะ
ฝึกสติขึ้นมา ให้มันเห็น .. .

.
ถ้ามันแยกออกระหว่างอารมณ์เนี่ย สังเกตดูมั้ย ?
ถ้าเราไม่ได้ฝึก อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ
ที่มันเกิดขึ้น มันเป็นเรา มันก็เลยมีเราทุกข์
เราพอใจ เรารัก เราเกลียด
.
แต่ถ้าเราฝึกสติ ฝึกอยู่ในลม แยกออก
เราจะเห็นอารมณ์ เราจะเห็นมันเกิดขึ้น เกิดจากเหตุ

ถ้ากำลังสติไม่เสถียร ยังไม่ทันมาก
มันก็จะเห็นว่ามันเกิดจากผู้อื่น
เพราะว่าเหตุ มันดูออกไปข้างนอก
.
แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราดู ถ้าเราอยู่กับลม ปุ๊บ
กำลังสติเราหนาแน่น เราจะเห็นเลย
อารมณ์แต่ละอย่าง ความรู้สึกแต่ละอย่าง
เราไปดึงเข้ามาเอง มันปรุงแต่งขึ้นเอง

.
ถ้าสติเรามันไม่ทัน มันไม่เท่าทันอารมณ์
เหมือนเมื่อคืนเนี่ย พูดเรื่องการกระทบ
ตากระทบรูป สวยไม่สวย
ถ้ากำลังสติมีมากนะ จะหยุดแค่นั้น
มันจะไม่ไปถึง พอใจ ไม่พอใจ
.
ปกติเลยเนี่ย มันจะไม่เห็น
พอใจปุ๊บ มันจะเอาเข้ามา
พอเอาเข้ามาแล้ว ยังไม่เท่าทันอาการที่มันปรุง
จะเอามาเป็นเจ้าของ ปรุงแต่งต่อทันที

.
เมื่อใดที่ได้ทำตามอารมณ์
ตัวปัญหาเนี่ย ตัวอยากเนี่ย
อยากได้มาเป็นเจ้าของ
“อุปทาน” ยึดในอาการนั้น
ภพ ชาติ เกิดทันที! ในขณะจิตนั้น.. .
.
แต่จริงๆแล้ว การปฏิบัติคือให้อาศัยเกาะลม
เพื่อไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่ง แค่นั้นเอง..

.
อารมณ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
ความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น
“ตั ด กั บ ม า อ ยู่ ใ น ล ม”
.
มันต้องใช้กำลังฝืน เพราะอะไร ?
เพราะ..ความเคยชินเดิมเรามันไหล
.
หนูถึงพูดอยู่ตลอดว่า ทุกข์
สภาพทุกข์คือ มีลักษณะการไหล
ไหลออก ไหลเข้าไปปรุงแต่ง

.
ทำยังไงเราจะกลับมา กลับมาฐาน
ฐานที่ตั้ง วิหารธรรมคือ ที่อยู่
ให้มัน “รู้” อยู่ในลมหายใจ
.
อาศัยลมหายใจนี่แหละ เป็นเกาะ เป็นหลุม
เมื่อใดที่หลุดลม หรือ สติไม่มีกำลังปุ๊บ
มันออกไปผสมโรงกันทันที
เนี่ยคือ ความปรุงแต่ง
.
แค่เราฝึกให้มันเท่าทัน
ไม่ให้มันเข้าไปปรุงแต่งร่วมกับอารมณ์เนี่ย
มันจบลงตรงนี้แหละ .. .

.
เหตุทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ตรงนี้
ถ้ากำลังสติมีมากทีนี้
มันยังไม่ได้ทันเป็นอารมณ์เลย ..
แค่มโนกรรม หรือ ความคิดเกิดขึ้น มันเห็นก่อนละ
มันก็ใช้ลม ใช้กำลังของสตินี่แหละ “ตัด”
ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนนะ การปฎิบัติ ซื่อๆตรงๆ
.
ทำยังไงเราจะเห็นความซื่อตรง
อารมณ์ความบีบคั้นเกิดขึ้น
รู้ลงไปเลย รู้ตรงๆนี่แหละ
.
แต่ส่วนใหญ่พอความทุกข์เกิดขึ้น ปุ๊บ
เราจะไปแก้ .. .

.
เมื่อใดที่ความทุกข์ หรือ
อาการต่างๆที่มันเกิดขึ้น
พอเราเข้าไปแก้
เราไปแก้ตัวอาการตรงๆไม่ได้
.
สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ กลับมา
กลับมาอยู่ใน“ลม” อยู่ในฐาน
.
แต่ส่วนใหญ่.. .
เวลามีความบีบคั้นเกิดขึ้นหน่อยนึง
เราก็อยากหาย ด้วยอาการที่อยากหาย
มันเลยเข้าไปพยายามแก้
.
ถ้ามันตัดกับลมไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะสู้กับความไม่ดี หรือ
อกุศลในใจ หรือ อกุศลในจิต

.
คือ ค ว า ม ดี
คือกุศลมันจะหล่อเลี้ยงกันนะ
.
เราไปแก้ตรงๆที่ตัวอาการไม่ได้
“ต้องสร้างเหตุ”
.
ทาน ศีล ภาวนา
ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เต็มรอบ
มันจะเป็นอันเดียวทีนี้ เป็นสิ่งๆเดียวกัน
.
(บทความถอดจากไลฟ์สด #แม่ชีเจิ้น ค่ำวันที่ 02 ก.ค. 66)
#วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

แม่ชีเจิ้น

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

แม่ชีเจิ้น แม่ชีที่มีประสบการณ์การภาวนามาอย่างโชกโชน ด้วยคำสอนที่เรียบง่าย แต่แทงลึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

แม่ชีเจิ้น

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

แม่ชีเจิ้น แม่ชีที่มีประสบการณ์การภาวนามาอย่างโชกโชน ด้วยคำสอนที่เรียบง่าย แต่แทงลึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

แม่ชีเจิ้น

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

แม่ชีเจิ้น แม่ชีที่มีประสบการณ์การภาวนามาอย่างโชกโชน ด้วยคำสอนที่เรียบง่าย แต่แทงลึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

แม่ชีเจิ้น

วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์

แม่ชีเจิ้น แม่ชีที่มีประสบการณ์การภาวนามาอย่างโชกโชน ด้วยคำสอนที่เรียบง่าย แต่แทงลึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ